นางหิรัญญา สุจินัย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานส่งเสริมการลงทุนในปี 2559 ว่า ในปีนี้ บีโอไอจะเร่งรัดโครงการที่ได้รับการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนให้เร่งลงทุนเร็วที่สุด จากการประเมินของบีโอไอ พบว่า ในรอบปี 2557-2558 มีโครงการที่เข้าข่ายจะได้รับการส่งเสริมการลงทุนเพิ่ม หากลงทุนตั้งโรงงานและดำเนินการผลิตได้ทันในปี 2560 ประมาณ 1.6 พันโครงการ มูลค่าการลงทุนกว่า 6 แสนล้าบาท กระจายไปทั่วทุกอุตสาหกรรม ซึ่งทางบีโอไอ ได้ดำเนินการติดต่อสอบถามผู้ประกอบการเหล่านี้ และในสัปดาห์หน้าก็จะได้ตัวเลขที่ชัดเจนว่า ในจำนวนนี้จะมีการลงทุนจริงและเปิดดำเนินกิจการได้ภายในปี 59-60 กี่โครงการและมูลค่าการลงทุนเท่าไร
"โดยทั่วๆ ไป แต่ละปีจะมีการลงทุนจริงประมาณ 4-5 แสนล้านบาท ซึ่งหากเร่งรัดให้ผู้ที่ได้รับการอนุมัติทั้ง 1.6 พันโครงการเร่งลงทุนได้ภายในกรอบเวลาที่กำหนด ก็จะทำให้ตัวเลขการลงทุนจริงสูงกว่าที่ผ่านมา ซึ่งในสัปดาห์หน้าจะได้ผลสรุปที่ชัดเจนว่าในปีนี้จะมียอดการลงทุนจริงเท่าไร" นางหิรัญญา กล่าว
นอกจากนี้ มีแผนที่จะแยกนโยบายให้การส่งเสริมนักลงทุนของไทยออกมาเป็นพิเศษ เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งส่งเสริมให้นักลงทุนในท้องถิ่นขยายการลงทุนเพิ่ม และเกิดธุรกิจใหม่ๆ เนื่องจากผู้ประกอบการไทยเหล่านี้มีมูลค่าโครงการลงทุนน้อยกว่าการลงทุนของต่างชาติ และความพร้อมในด้านต่างๆที่ไม่เท่ากัน ดังนั้นจึงจะต้องมีแผนในการส่งเสริมอย่างเฉพาะเจาะจง เช่น ในธุรกิจท่องเที่ยวกำหนดให้ต้องมีวงเงินไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาทขึ้นไปจึงจะได้รับการส่งเสริมฯ ซึ่งในวงเงินลงทุนนี้อาจจะมากเกินไปสำหรับนักธุรกิจท้องถิ่น จึงอาจจะปรับลดวงเงินการลงทุน และเพิ่มสิทธิประโยชน์ต่างๆ ให้เหมาะสมกับคนไทย ส่วนโครงการที่จะส่งเสริมจะเน้นในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และแปรรูปการเกษตร เพื่อให้ชุมชนในท้องถิ่นได้รับประโยชน์จากการลงทุนสูงสุด ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 1-2 เดือนนี้
ทั้งนี้ บีโอไอจะพิจารณาออกมาตรการส่งเสริมการลงทุนใน 3 คลัสเตอร์ใหม่ ได้แก่ คลัสเตอร์หุ่นยนต์เพื่อการอุตสาหกรรม คลัสเตอร์เมดิคัลฮับ ที่ประกอบด้วยการส่งเสริมธุรกิจบริการทางการแพทย์ทุกด้าน การผลิตอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ และการวิจัยผลิตยา และคลัสเตอร์ชิ้นส่วนอากาศยานและการซ่อมบำรุงอากาศยาน โดยจะให้สิทธิประโยชน์มากน้อยแล้วแต่ประเภทของกิจการ ซึ่งจะได้ข้อสรุปภายใน 2-3 เดือน รวมทั้งจะประเมินสถานการณ์การลงทุนจากต่างประเทศจากสถานการณ์ล่าสุดอีกครั้ง เพื่อกำหนดเป้าหมายการลงทุนต่างชาติที่ชัดเจน และปรับเปลี่ยนแผนให้สอดคล้องกับสถานการณ์
ขณะที่ยอดคำขอรับการส่งเสริมสะสมตั้งแต่ปี 57-58 มีมีมูลค่าการลงทุนประมาณ 2.2 ล้านบาท ขณะนี้ได้ทยอยคืนคำขออนุมัติไปแล้วมูลค่ากว่า 2 แสนโครงการ คงเหลือยอดคำขอฯประมาณ 2 ล้านล้านบาท ที่จะทยอยอนุมัติโครงการส่งเสริมการลงทุนต่อปี ซึ่งโครงการที่คืนคำขอไปนี้ส่วนใหญ่ขาดความพร้อมในการดำเนินการ เข้ามายื่นขอเพื่อรักษาสิทธิส่งเสริมการลงทุนในนโยบายการส่งเสริมเดิม
โดยบีโอไอ จะเร่งเดินหน้าชี้แจงทำความเข้าใจกับนักลงทุนถึงนโยบายและมาตรการสำคัญต่างๆ ในการส่งเสริมการลงทุนให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น โดยตั้งแต่กลางเดือนม.ค.59 กำหนดจะเริ่มเดินสายชักจูงการลงทุนในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ รวมถึงจัดกิจกรรมพบปะนักลงทุนในต่างประเทศที่มีศักยภาพในการลงทุนตามกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งประเด็นสำคัญในการจัดกิจกรรม จะเน้นสร้างความเข้าใจและกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในอนาตต และสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะการให้ข้อมูลรายละเอียดของนโยบายที่จะสิ้นสุดการให้ส่งเสริมการลงทุนในช่วงปี 59 ได้แก่ มาตรการเร่งรัดการลงทุน ซึ่งเปิดให้ภาคเอกชนที่สนใจต้องยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนภายในเดือนมิ.ย.59 เช่นเดียวกับการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนใน 6 กิจการเป้าหมายในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ที่จะต้องยื่นภายในเดือนมิ.ย.59 ด้านนโยบายส่งเสริมการลงทุนในรูปแบบคลัสเตอร์ จะต้องยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนภายในวันที่ 30 ธ.ค.59
"ปีนี้บีโอไอจะเน้นกระตุ้นให้นักลงทุนเร่งตัดสินใจลงทุนตามนโยบายของรัฐบาล เนื่องจากมีบางส่วนที่ภาคเอกชนต้องรีบตัดสินใจโดยเร็วเพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น โดยมั่นใจว่าหากนักธุรกิจมีการลงทุนตามนโยบายต่างๆ นอกจากจะช่วยผลักดันให้การลงทุนปีนี้เป็นไปตามเป้าหมายที่คาดว่าจะมีมูลค่าขอรับส่งเสริมการลงทุนอยู่ที่ประมาณ 4,5 แสนล้านบาทแล้ว การลงทุนของภาคเอกชนยังจะช่วยเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างมาก' นางหิรัญญา กล่าว
ส่วนภาพรวมการลงทุนในปี 58 ที่ผ่านมา มีโครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนคิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 8 แสนล้านบาท ซึ่งได้ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศในหลายด้าน เช่น เพิ่มการจ้างงานแรงงานไทย 1.83 แสนคน เกิดการใช้วัตถุดิบในประเทศมูลค่าประมาณ 7.81 แสนล้านบาทต่อปี และสร้างรายได้จากการส่งออกประมาณ 1.16 ล้านล้านบาทต่อปี