นายอัทธ์ พิศาลวาณิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงการวิเคราะห์ทิศทางการส่งออกไทยปี 2559 ว่า การส่งออกไทยปี 2559 จะอยู่ในกรอบ 0.1-4.1% มีมูลค่า 214,276-222,839 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีโอกาสถึง 70 % ที่การส่งออกไทยจะขยายตัวได้ 2% ซึ่งถือเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 4 ปี ทั้งนี้ประเมินว่าเศรษฐกิจของสหรัฐอินเดีย และกลุ่มประเทศ CLMV ที่ดีขึ้น จะส่งผลดีต่อการส่งออก แต่ตลาดจีนจะเป็นตลาดที่ฉุดการส่งออกของไทยทำให้ขยายตัวได้ไม่มากนัก
ทั้งนี้ในปี 2559 ต้องมีการจับดูมองเศรษฐกิจจีนเป็นพิเศษ เพราะจีนเป็นคู่ค้าที่สำคัญของไทย มีการนำเข้า และส่งออกมาไทย ซึ่งเศรษฐกิจจีนจะมีผลต่อการส่งออกไทยค่อนข้างมาก หากเศรษฐกิจจีนขยายตัวมากกว่า 6.3% ส่งออกไทยมีโอกาสขยายตัวมากกว่า 2% แต่หากเศรษฐกิจจีนขยายตัวต่ำกว่า 6.3% ส่งออกไทยก็จะขยายตัวต่ำกว่า 2% ขณะที่ค่าเงินหยวน ก็เป็นปัจจัยต่อค่าเงินบาทของไทยให้อ่อนค่าลงไปด้วย รวมถึงค่าเงินในภูมิภาคอาเซียน อินเดีย ญี่ปุ่น ก็จะอ่อนค่าด้วย เพราะที่ผ่านมาค่าเงินหยวนกลายเป็นค่าเงินที่เข้ามามีส่วนสำคัญในภูมิภาคตลาดอาเซียน และยังส่งผลกระทบต่อภาระหนี้ที่มีการกู้ยืมในรูปของค่าเงินเหรียญสหรัฐของในภูมิภาค
สำหรับการส่งออกจากไทยไปจีนในปี 2559 คาดว่าจะติดลบต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 นับตั้งแต่ปี 2557 ที่ส่งออกติดลบ 7.9% ปี 2558 ติดลบ 5.4% และในปี 2559 คาดจะติดลบ 1.1% โดยมองว่าสินค้าที่มีโอกาสดีในตลาดจีน คือ เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบ อุปกรณ์และเครื่องอุปกรณ์ที่ใช้ในทางทัศนศาสตร์ รถยนต์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ทำด้วยเหล็ก และอัญมณีและเครื่องประดับ ขณะที่สินค้าที่ยังมีความเสี่ยงในตลาดจีน ได้แก่ ยางพาราและผลิตภัณฑ์จากยางพารา พลาสติกและผลิตภัณฑ์ที่ทำด้วยพลาสติก เครื่องจักร/เครื่องกล/บอยเลอร์ ไม้และผลิตภัณฑ์ทำด้วยไม้ ส่วนสินค้าที่อยู่ในขั้นอันตรายในตลาดจีน คือ เคมีภัณฑ์อินทรีย์ แป้งหรือสตาร์ช สารแอลบูมินอยด์/กาวและสินค้าประมง
ทั้งนี้นอกจากกรณีของเศรษฐกิจจีนแล้วปัจจัยเสี่ยงอื่นๆของการส่งออกที่ต้องติดตามอีก เช่น ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวลดลง อียูให้ใบเหลืองประมงไทย ราคาน้ำมันอยู่ในระดับต่ำ ที่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 30 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ความเสี่ยงจากปัญหาการเมืองระหว่างประเทศและก่อการร้าย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประเทศผู้นำเข้าของไทย และคู่แข่งมีศักยภาพการส่งออกที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV ที่จะเข้ามาแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดของไทย ในตลาดสำคัญ เช่น สหรัฐ จีน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย ดังนั้นภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจต้องหันมาให้ความสำคัญของตลาดใหม่ๆ ทั้ง ตลาดอินเดีย รัสเชีย และเอเชียกลางมากขึ้น โดยเฉพาะอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในปี 2559 นี้ และยังมีความต้องการสินค้าอย่างมากโดยเฉพาะยางพารา อีกทั้งการส่งออกจากไทยไปอินเดียยังน้อยอยู่ สำหรับสินค้าที่จะเป็นตัวเด่นในปี 2559 อาหารแปรรูปจากเนื้อสัตว์และปลา อัญมณี และเครื่องประดับ เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบ และรถยนต์และส่วนประกอบ