ทูตพาณิชย์ นัดประชุม 20 ม.ค.นี้ “สมคิด” นั่งหัวโต๊ะหาช่องดันตัวเลขส่งออกปี 2559 ให้โตตามเป้า 5% ด้านปลัดคลังไม่หวั่นเศรษฐกิจจีน ชี้เป็นเพียงการตื่นตระหนกระยะสั้น คาดจีดีพีปี’59 ยังขยายตัวร้อยละ 3.8
นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่าในวันที่ 20 ม.ค.2559 นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานในการประชุมผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ(ทูตพาณิชย์) ทั่วโลก เพื่อประเมินสถานการณ์ตลาด เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า เพราะเศรษฐกิจโลกในปีนี้ยังมีความอ่อนไหว หลายตลาดยังชะลอตัว โดยเฉพาะจีนที่ยังไม่ดี ส่วนตลาดสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป(อียู)ที่เหมือนกำลังจะดีขึ้น ก็มีเหตุการณ์ตึงเครียดระหว่างซาอุดีอาระเบียและอิหร่านเกิดขึ้น ขณะเดียวกันจะมีการมอบนโยบายในการผลักดันมูลค่าการส่งออก ปี 2559 ของไทย ให้ขยายตัว 5% โดยเฉพาะ กลยุทธ์ และการมุ่งเน้นตลาด ที่สำคัญทั้งในกลุ่มCLMV (กัมพูชา, ลาว, เมียนมา, เวียดนาม)รวมทั้งจีน อินเดีย รัสเซีย แอฟริกา
“สินค้าที่จะใช้ผลักดันการส่งออกของไทย นอกจากสินค้าสำคัญๆ เช่น รถยนต์ และชิ้นส่วน อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อาหาร ฯลฯ แล้วยังจะเน้นสินค้าบริการ ทั้งบริการด้านสุขภาพและความงามโลจิสติกส์ บันเทิง/คอนเท็นต์ การศึกษา เป็นต้น” นายสุวิทย์
มีรายงานข่าวแจ้งว่า ในการประชุม คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร.ได้มีการนัดแรกปี 2559 เมื่อเร็วๆนี้ กกร. คาดว่าจะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 2% จากในปีที่ผ่านมา ติดลบ 5% ซึ่งการขยายตัวของภาคการส่งออกส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มตลาดประเทศอาเซียนด้วยกัน โดยเฉพาะในกลุ่ม กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม หรือ CLMV แต่ยังมีปัจจัยลบที่น่ากังวลในหลายเรื่อง ทั้งเรื่องความผันผวนทางเศรษฐกิจโลก และจีดีพีของจีนที่จะเติบโตไม่ถึง 7% และจะส่งผลให้ภาคการส่งออกของไทยให้เติบโตลดลงขณะที่ปัจจัยลบภายในประเทศ เช่น ปัญหาภัยแล้ง ราคาสินค้าเกษตรที่ไม่ดีขึ้น ส่วนปัจจัยต่างประเทศที่จะส่งผลกระทบ ได้แก่ การก่อการร้ายในกลุ่มประเทศยุโรป และเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวน
ด้านนายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวถึงปัญหาเศรษฐกิจจีนขณะนี้เป็นการตื่นตระหนกระยะสั้น เพราะจีนเริ่มมีนโยบายการเงินยืดหยุ่นมากขึ้น หลังจากทำนโยบายเชิงรุก จึงมั่นใจว่าในไม่ช้าการแก้ปัญหาจะเข้าสู่ปกติ ยอมรับว่าปัญหาของจีนกระทบต่อการท่องเที่ยวและการส่งออกของไทยแต่หากมองในแง่บวกเมื่อจีนใช้นโยบายดูแลเศรษฐกิจในประเทศจีนให้สมดุลแล้วระยะยาวเศรษฐกิจจีนจะแข็งแกร่งอย่างยั่งยืน เพื่อพยุงเศรษฐกิจโลก
ขณะที่รัฐบาลไทยมีแนวทางเป็นฉนวนป้องกันรองรับปัญหาไว้แล้ว ด้วยการส่งเสริมให้ลงทุนในประเทศ มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายจากผู้มีกำลังซื้อให้ใช้เงินในประเทศเหมือนกับมาตรการช็อบปิ้งช่วงที่ผ่านมา
พร้อมยืนยันว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้ยังดีกว่าปีก่อนคาดว่าจีดีพีไทยปี 2558 จะเติบโตมากกว่าร้อยละ 2.8 และปีนี้ขยายตัวร้อยละ 3.8 เพราะแผนลงทุนภาครัฐไตรมาส 3, 4 จะเป็นเครื่องมือหลักในการเร่งการลงทุนผ่านหลายโครงการ รวมถึงแผนการลงทุนภาครัฐโครงการขนาดเล็ก 1 ล้านบาท จะเบิกจ่ายปีนี้เกือบทั้งหมด การลงทุนตำบลละ 5 ล้านบาท ในช่วงไตรมาสแรก แผนปล่อยสินเชื่อ 50,000 ล้านบาทจากโครงการดอกเบี้ยซอฟท์โลนของธนาคารออมสินจะออกสู่ระบบในช่วงไตรมาสแรกนี้ และหากช่วงใดซบเซามากจะอัดฉีดเงินอออกสู่ระบบในช่วงนั้น หลังจากกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณกันงบกลางสำรองไว้ เพื่อดูภาวะที่เหมาะสมในการใช้งบกลางปี
นายอัทธ์ พิศาลวานิช คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า หลังจากจีนทยอยลดค่าเงินหยวนเหลือ 6.5 หยวนต่อดอลาร์สหรัฐ เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ คาดว่าอาจต้องลดลงไปอีกเหลือ 6.3-6.5 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐ ยอมรับว่าที่ผ่านมาเงินทุนของจีนออกไปลงทุนในต่างประเทศทั่วโลก ส่วนใหญ่ลงทุนในเอเชียร้อยละ 60 ในสัดส่วนดังกล่าวเป็นอาเซียนร้อยละ 36 ไทยเป็นอันดับ 6 รองจากสิงคโปร์ มาเลเซีย ปัญหาของจีนจึงไม่กระทบต่อสหรัฐและยุโรปมากนัก
ทั้งนี้เมื่อจีนปรับความสมดุลในประเทศให้จีดีพีขยายตัวประมาณร้อยละ 6.3-6.5 ต่อปี จึงทำให้กำลังซื้อประเทศขยายตัวระดับดังกล่าว ผู้ส่งออกของไทยจึงต้องประเมินแผนธุรกิจดังกล่าวให้สอดคล้องกับจีดีพีของจีน แต่มองว่าจีนมีประชากร 1,300 คน ยังมีคนที่กำลังซื้อสูงอีกจำนวนมาก