นายกสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างฯแนะผู้รับเหมาไซซ์เอสเอ็มอีรวมตัวตั้งกลุ่มกิจการร่วมค้าข้าชิงเค้กงานเมกะโปรเจ็กต์ ชี้ช่องเจาะงานถนนกับรถไฟทางคู่ เผยศักยภาพบริษัทก่อสร้างรายกลางรับงานสัญญาสูงถึง 5 พันล้านบาท ฟาก”ธำรงวิทย์”บิ๊กรับเหมางานถนน ระบุการรวมกลุ่มเอสเอ็มอีไม่ง่าย หวั่นกระทบงานล่าช้า-ติดตามงานไม่ทั่วถึง คมนาคมวางเป้าเร่งรัดโครงการตามแผนแอกชันแพลนวงเงิน 1.79 ล้านล้านสู่ขั้นตอนประกวดราคาให้ได้ 80-90% นายแบงก์ยันรายใหญ่-กลางเริ่มขยับขอวงเงินกู้
โครงการถนนและรถไฟทางคู่ ที่คาดพร้อมเปิดประมูลในปี 2559
หลังสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ได้เข้าหารือถึงการพัฒนาโครงการลงทุนขนาดใหญ่กับนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อเรียกร้องให้ปรับปรุงเงื่อนไขในโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เปิดโอกาสบริษัทรับเหมาขนาดกลางและเล็กได้เข้าร่วมประมูลใน โครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐที่จะเกิดขึ้นในปี 2559 โดยนายอาคมรับปากว่าจะเร่งพิจารณาปรับปรุงระเบียบการประกวดราคา เพื่อเปิดโอกาสให้บริษัทรับเหมารายย่อยมีส่วนร่วมประมูลโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ
ล่าสุดนายสังวรณ์ ลิปตพัลลภ นายกสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผย”ฐานเศรษฐกิจ”ว่า การที่รัฐบาลเร่งขับเคลื่อนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมวงเงินรวม 1.796 ล้านบาทอย่างจริงจังในปี 2559 ถือเป็นเรื่องที่ดีสำหรับธุรกิจก่อสร้าง ส่วนใหญ่เป็นโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ มูลค่าโครงการเป็นหมื่นๆล้านบาทขึ้น แต่บริษัทก่อสร้างขนาดกลางขนาดเล็กหรือเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่มีกว่า 100 ราย ไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าประมูล ก็ต้องรอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ช่วยหาช่องทางช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางรวมถึงรายเล็กด้วยการซอยสัญญา
“ผู้รับเหมาขนาดกลางได้ร้องเรียนสมาคมฯงานที่ออกมาส่วนใหญ่เป็นของแพง โครงการเมกะโปรเจ็กต์ มูลค่าโครงการสูงเป็นหมื่นๆ ล้านบาท ซึ่งผู้รับเหมาขนาดกลางไม่มีสิทธิ์เข้าประมูลเลย ถ้าเป็นโครงการเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจจริง ทุกคนควรมีส่วนเข้าไปร่วมมือไม่ใช่กระตุ้นแค่ 3-4 บริษัท”
ชี้รวมตัวจอยท์ เวนเจอร์ชิงประมูล
นายสังวรณ์ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้สมาคมฯได้แนะนำสมาชิกบริษัทก่อสร้างขนาดกลางว่าควรจะจับมือรวมกันกลุ่มละ 5-6 รายเข้าประมูลงานในโครงการเมกะโปรเจ็กต์ โดยให้มุ่งเจาะงานระบบถนนและรถไฟทางคู่ เพราะเป็นงานดินถมค่อนข้างมาก และต้องใช้เครื่องจักรกลมาบดอัดดิน ไม่ใช้เทคนิคการก่อสร้างชั้นสูง ซึ่งบริษัทก่อสร้างขนาดกลางมีความถนัด ทั้งนี้บริษัทก่อสร้างระดับเอสเอ็มอีมีศักยภาพรับงานที่มีวงเงินประมาณ 3,000-5,000 ล้านบาทได้
ดังนั้นอยากให้ภาครัฐเปิดโอกาสให้ผู้รับเหมารายย่อยมีส่วนร่วมในโครงการของภาครัฐ ด้วยการเปิดคุณสมบัติผู้รับเหมาใหม่ โดยให้ผู้รับเหมารายย่อยสามารถรวมตัวกันในรูปแบบของกิจการร่วมค้าหรือจอยท์เวนเจอร์ นำผลงานของแต่ละบริษัทมารวมกัน เช่น ถ้ารัฐต้องการผู้รับเหมาที่มีคุณสมบัติเคยรับงานที่มีมูลค่า 5,000 ล้านบาท ก็ให้ผู้รับเหมารายย่อยที่มีประสบการณ์รวมตัวกันให้ได้ตามคุณสมบัติที่รัฐต้องการ
“โดยปกติแล้วบริษัทรายใหญ่ที่ประมูลงานถนน ทางด่วน สะพาน หรือรถไฟได้ ก็มักจะหาผู้รับเหมามารับช่วงต่องานก่อสร้างอีกทีหนึ่ง เพราะโครงการในลักษณะนี้มีระยะทางที่ยาวแต่ราคาไม่แพง แต่ผู้รับเหมารายย่อยกลับต้องถูกตัดราคาลง 15-20% ขณะที่ถ้าเป็นโครงการรถไฟฟ้า เช่น แอร์พอร์ตลิงค์ระยะทาง 1 กิโลเมตร ต้องใช้งบในการก่อสร้าง 700-800 ล้านบาท ทางสั้นแต่มีราคาสูงกว่า ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบกันแล้วงานก่อสร้างถนนหรือสะพานจึงไม่ค่อยเห็นบริษัทรับเหมารายใหญ่ทำเอง หากผู้ประกอบการรายย่อยสามารถรับงานได้เองก็จะไม่ต้องถูกตัดราคา”
ปี59มีเค้กงานถนน/ทางคู่กว่าแสนล.
นายกสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2559 ที่จะถึงนี้ จากการประเมินแผนแอกชันแพลนแล้ว คาดว่าจะมีโครงการเมกะโปรเจ็กต์ระบบถนนและรถไฟทางคู่ที่จะเปิดประมูลมีวงเงินรวมกันกว่า 1 แสนล้านบาท เช่น ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) 3 เส้นทาง มูลค่ารวมกว่า 1.6 แสนล้านบาท มีสายพัทยา-มาบตาพุด 20,200 ล้านบาท สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา 84,600 ล้านบาท สายบางใหญ่-บ้านโป่ง-กาญจนบุรี 55,620 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีรถไฟทางคู่อีก 2-3 สาย เป็นต้น
ชี้ซอยสัญญาย่อยเกินไปไม่เวิร์ค
ด้านนายวรงค์ วงศ์วรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท แพร่ธำรงวิทย์ จำกัด หนึ่งในบริษัทชั้นพิเศษที่รับงานด้านถนนของกรมทางหลวง(ทล.)และกรมทางหลวงชนบท(ทช.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันโครงการประจำปีของ ทล.-ทช.นั้นก็เปิดโอกาสให้กับรายกลางรายย่อยเข้าประมูลแข่งขันรับงานในแต่ละภูมิภาค แต่หากเป็นโครงการขนาดใหญ่แล้วน่าจะยากกับขั้นตอนปฏิบัติและระเบียบขั้นตอนที่ทล.-ทช.กำหนดระดับชั้นของผู้รับเหมาเอาไว้ อีกทั้งยังจะต้องคำนึงถึงประเด็นอื่นๆ รองรับไว้ด้วย
กรณีที่ทล.-ทช.หรือหน่วยอื่นได้กำหนดชั้นมาตรฐานของบริษัทก่อสร้างไว้ เพราะขนาดของงานจะบ่งบอกขีดความสามารถการรับงานนั่นเอง โดยงานระดับเมกะโปรเจ็กต์ได้มีการกำหนดมาตรฐานไว้ค่อนข้างสูงกว่างานธรรมดาทั่วไป หรือบางงานอาจจะต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง อาทิ โครงการมอเตอร์เวย์ ที่มีมูลค่าหลักหมื่นล้านบาทขึ้นไป หากแบ่งซอยสัญญาเพื่อเปิดโอกาสให้รับเหมารายย่อยก็ควรจะคำนึงถึงมูลค่างาน เช่นมอเตอร์เวย์บางปะอิน-นครราชสีมา มูลค่างานกว่า 8 หมื่นล้านบาท ถ้าทล.แบ่งสัญญาละ 2,000-3,000 ล้านบาทคิดเป็นจำนวนกว่า 25 สัญญา แต่หากแบ่งเป็นมูลค่าสัญญาละ 500 ล้านบาทก็จะเพิ่มมากขึ้นไปจำนวนมากนับหลัก 100 โครงการ จะมีคำถามว่าจะสามารถควบคุมได้จริงหรือไม่ และหากไม่แล้วเสร็จตามแผนจำนวน 1-2 ตอนจะกระทบทันทีมอเตอร์เวย์ทั้งเส้นก็จะเปิดให้บริการไม่ได้ตามไปด้วย ดังนั้นกระทรวงที่รับผิดชอบและรัฐบาลจึงควรพิจารณาให้รอบคอบ
“หากรัฐกลัวว่าผู้รับเหมารายย่อยจะไม่มีงานทำก็ควรจะไปเพิ่มงานในบางหมวดโดยเฉพาะระดับ 10 ล้านบาทหรือหลัก 100 ล้านบาทอาทิงานซ่อมบำรุงต่างๆ”
การรวมกลุ่มเอสเอ็มอีไม่ง่าย
อย่างไรก็ดีการรวมกลุ่มทางธุรกิจนั้นยังเห็นว่าน่าจะเป็นความยุ่งยากมากกว่า เนื่องจากขั้นตอนการจดทะเบียนของส่วนราชการมีขั้นตอนจำกัดที่จะต้องเป็นนิติบุคคลใดบุคคลหนึ่งเท่านั้น ยกเว้นงานประเภทเงินกู้ที่จะเปิดโอกาสให้ผู้รับเหมาเข้ามาแข่งขันได้ซึ่งจะไม่ค่อยมีการคำนึงถึงระดับชั้นผู้รับเหมามากนัก จะสามารถร่วมลงทุนทางธุรกิจหรือคอนซอร์เตียมร่วมกันได้ หากมีศักยภาพเทียบเท่ากันได้ ซึ่งทีโออาร์จะต้องมีการระบุเฉพาะเอาไว้ชัดเจน
“การจดทะเบียนแล้วแบ่งระดับชั้น ภาคราชการสามารถนำเอาไปใช้งานได้ทันที เพราะมีรายละเอียดต่างๆระบุเอาไว้ชัดเจนแล้วที่จะนำไประบุในทีโออาร์ได้อีกด้วย ให้ได้ตามมาตรฐานที่กำหนดเอาไว้ ไม่เว้นแม้กระทั่งเครดิต วงเงินที่ผ่านการตรวจสอบมาเป็นอย่างดีแล้วนั่นเอง”
เร่งรัดประมูล 80-90%
นายวิจิตต์ นิมิตรวานิช นักวิชาการขนส่งทรงคุณวุฒิ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร สนข. กล่าวว่า ตามแผนแอกชันที่มี 20 โครงการ วงเงินลงทุนกว่า 1.79 ล้านล้านบาท รัฐบาลชุดนี้จะพยายามเร่งรัดโครงการให้ไปสู่ขั้นตอนประกวดราคาให้ได้มากถึง 80-90% ของแผน ถึงแม้จะเปลี่ยนรัฐบาลใหม่มาบริหารโครงการก็สามารถเดินต่อไปได้เลย ไม่มีการหยุชะงัก เพราะได้รับอนุมัติจาก ครม. ใน 20 โครงการนั้น มี 6 โครงการที่พร้อมในปี 2559 อีก 14 โครงการจะเร่งรัดให้สู่กระบวนการอนุมัติและการจัดจ้างให้แล้วเสร็จภายในปี 2560
แบงก์ยันรายใหญ่-กลางขยับแล้ว
“ฐานเศรษฐกิจ”สอบถามไปยังสถาบันการเงินถึงการเตรียมขอวงเงินกู้ ในกลุ่มของบริษัทรับเหมาและก่อสร้าง พบว่าขณะนี้ทั้งลูกค้ารายใหญ่และรายกลางเริ่มเข้ามาขอวงเงินกู้ทั้งในส่วนของเงินทุนหมุนเวียนและวงเงินเพื่อการลงทุนแล้ว
นายกิตติพันธ์ อนุตรโสตถิ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจขนาดใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (บมจ.) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ตอนนี้สัญญาณขอวงเงินสินเชื่อของลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับโครงการก่อสร้างพื้นฐาน และระบบขนส่งสาธารณะมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากบริษัทเหล่านี้ต้องการเตรียมความพร้อมล่วงหน้า หากภาครัฐกดปุ่มเริ่มโครงการ บริษัทเหล่านี้สามารถเดินหน้าได้ทันทีไม่ต้องรอ ทำให้ผู้ประกอบการเข้ามาวางแผนการขอวงเงินเพื่อนำไปใช้ในการประมูลโครงการหรือใช้ในการดำเนินโครงการ โดยวงเงินส่วนใหญ่ที่เข้ามาจะเป็นโปรเจ็กต์ไฟแนนซ์ ซึ่งจะมีทั้งวงเงินทุนหมุนเวียน วงเงินเพื่อการลงทุน และการออกพันธบัตร ขึ้นอยู่กับลูกค้าแต่ละราย
“แม้จะเห็นเพียงแค่บริษัทขนาดใหญ่ขยับ แต่เชื่อว่ากลุ่มผู้ประกอบการรายกลาง หรือซัพพลายเชนของกลุ่มใหญ่ก็เริ่มทยอยเตรียมตัวในการรองรับการลงทุนภาครัฐที่จะเกิดขึ้น เพราะภาพการลงทุนมีแนวโน้มและทิศทางชัดเจนขึ้นกว่าในช่วงต้นปีที่ผ่านมา”
ขณะที่นายวีระศักดิ์ สุตัณฑวิบูลย์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน)(บมจ.) ธนาคารยังไม่เห็นสัญญาณที่ชัดเจนจากกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้างในกลุ่มเอสเอ็มอียื่นขอสินเชื่อเพื่อการลงทุนหรือก่อสร้างจากโครงการภาครัฐ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะภาพรวมโครงการของรัฐแม้จะมีข่าวคืบหน้าในขั้นตอนเซ็นสัญญาโครงการแต่ขาดความชัดเจนในการประมูล ดังนั้นกลุ่มผู้รับเหมาะรายกลาง-เล็กจึงยังไม่ต้องการวงเงินสินเชื่อ
“อาจจะมีการคุยกันในลักษณะบริษัทผู้รับเหมาว่าจะจับมือกับใคร ซึ่งเป็นการล็อกซับคอนแทร็กแต่ยังไม่รู้ว่าใครจะประมูลได้หรือไม่ได้ จึงไม่เห็นการขับเคลื่อนหรือกระตือรือร้นในการขอสินเชื่อจากแบงก์”
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 35 ฉบับที่ 3,113 วันที่ 13 – 16 ธันวาคม พ.ศ. 2558