วาดฝันจีดีพีภาคอุตฯ โต 3%
นางอรรชกา สีบุญเรือง ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ในภาพรวมเศรษฐกิจอุตสาหกรรมในปี 2558 คาดว่า GDP ภาคอุตสาหกรรมจะขยายตัวประมาณ 2-3% ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจโดยรวม (GDP) ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการพิจารณาอนุญาตต่างๆ ของภาคเอกชนให้มีความรวดเร็วมากขึ้น การส่งเสริม SMEs ที่สำคัญคือการเตรียมความพร้อมสู่การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ด้วยการใช้ระบบไอทีมาเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ (SMEs Digital) และลดต้นทุนโลจิสติกส์ รวมถึงการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสาขาที่มีศักยภาพเดิมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมสิ่งทอ ฯลฯ ควบคู่กับการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ๆ และปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงในอนาคต รวมทั้งการกำกับดูแลภาคอุตสาหกรรม ซึ่งต้องคำนึงถึงเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก
“ประเด็นที่กระทรวงอุตสาหกรรม จะขอรับการสนับสนุนจาก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการผลักดันในระดับชาติ มี 3 เรื่อง คือ 1.กำหนดให้ปี 2559 เป็นปีแห่งการเพิ่มผลิตภาพของประเทศโดยกำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ 2.ขอให้สนับสนุนการผลิตและการใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมใหม่ที่นำผลผลิตทางการเกษตรมาแปรรูป และให้ภาครัฐรณรงค์กำหนดมาตรการจูงใจ เพื่อให้มีการใช้พลาสติกชีวภาพ และ 3.ขอให้สนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมเหล็กครบวงจร เพราะเป็นวัตถุดิบตั้งต้นของอุตสาหกรรมต่างๆ
ภาคผลิตยังโงหัวไม่ขึ้น
นายณัฐพล รังสิตพล รองผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยถึงดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมหรือเอ็มพีไอว่า จากภาวะเศรษฐกิจของโลกและภายในประเทศที่ยังชะลอตัวอยู่ ได้ส่งผลให้ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ปรับตัวลดลง 3.67% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการส่งออกของกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ประเภทฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ ไอซี ปรับตัวลดลง เนื่องจากเป็นช่วงการเปลี่ยนถ่ายเทคโนโลยี รวมถึงอุตสาหกรรมรถยนต์อยู่ช่วงเปลี่ยนรุ่นการผลิต เป็นรถประหยัดพลังงานและลดการปล่อยมลพิษ อีกทั้ง อุตสาหกรรมเหล็กภายในประเทศได้รับผลกระทบจากการยังไม่ฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์

โดยมองว่าเอ็มพีไอในเดือนกรกฎาคมนี้ จะยังมีแนวโน้มปรับตัวลดลงต่อเนื่องหรือทรงตัวในระดับใกล้เคียงกับเดือนมิถุนายนที่ติดลบ 2.2% และหากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนติดลบ 8% เป็นผลมาจากกลุ่มอุตสาหกรรมที่สำคัญการผลิตปรับตัวลดลง ไม่ว่าจะเป็น ฮาร์ดดิสก์ ไดรฟ์ โทรทัศน์ รถยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และเบียร์ เป็นต้น ซึ่งเห็นได้จากในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ มีการนำเข้าสินค้าทุนติดลบ 1% เมื่อเทียบกับช่วยเดียวกันของปีก่อน และการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบติดลบ 1.9% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน ขณะที่การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมในช่วงครึ่งปีแรกปรับตัวลดลง 3%
อย่างไรก็ตาม ทาง สศอ.ยังประเมินว่าเอ็มพีไอในช่วงครึ่งปีหลังจะปรับตัวดีขึ้น และทั้งปีตัวเลขเอ็มอีไอน่าจะยังเป็นบวก แต่อาจจะปรับตัวลดลงจากที่ประเมินไว้ในช่วงต้นปีที่ประมาณ 3-4% ขณะที่ตัวเลขจีดีพีอุตสาหกรรม ยังไม่มีการปรับตัวลดลงจากที่ประมาณการณ์ไว้อยู่ที่ 2-3%
ทั้งนี้ เนื่องจากมองว่าในช่วงครึ่งปีหลัง ยังมีปัจจัยบวกที่จะสามารถขับเคลื่อนภาวะเศรษฐกิจได้อยู่ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์การท่องเที่ยวในประเทศยังเติบโตดีอยู่ ที่จะส่งผลให้เกิดการหมุนเวียนรายจ่ายในประเทศเพิ่มมากขึ้น การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐที่เริ่มดีขึ้น ความชัดเจนในโครงการก่อสร้างพื้นฐานทั้งการลงทุนของภาครัฐและเอกชน รวมถึงค่าเงินบาทที่ยังอ่อนอยู่จะส่งผลให้มีการเร่งส่งออกมากขึ้น
นายณัฐพล กล่าวอีกว่า สำหรับกรณีที่สหรัฐอเมริกายังคงจัดประเทศไทยอยู่ในบัญชีกลุ่มที่ 3 (TIER 3) ตามรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ ประจำปี 2558 นั้น คงไม่มีผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าไปสหรัฐอเมริกาลงกว่าเดิม เพราะที่ผ่านมาการส่งออกไปสหรัฐอเมริกาก็ยังเติบโตอยู่ในระดับ 8% ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณี เครื่องประดับ เป็นต้น และคาดว่าสถานการณ์จะเริ่มดีขึ้น เนื่องจากกระทรวงแรงงานอยู่ระหว่างการแก้ไขพ.ร.บ.ประมงอยู่ ซึ่งจะแล้วเสร็จในช่วงกลางปีหน้า
ส่วนเอ็มพีไอในเดือนมิถุนายนที่ปรับตัวลดลง หากแยกตามกลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญ ได้แก่ อุตสาหกรรมรถยนต์ การผลิตรถยนต์มีจำนวน 1.51 แสนคัน ปรับตัวลดลง 5.11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยจำหน่ายภายในประเทศ 6.03 หมื่นคัน ปรับตัวลดลง 18.26% และส่งออกมีจำนวน 7.67 หมื่นคัน ปรับตัวลดลง 26.14%
ขณะที่อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ปรับตัวลดลงประมาณ 17.51% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ปรับตัวลดลง 18.84% และอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าปรับตัวลดลงประมาณ 11.4% อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า การบริโภคภายในประเทศมีปริมาณ 1.29 ล้านตัน ลดลงประมาณ 5.15% การผลิตมีประมาณ 0.48 ล้านตัน ลดลงประมาณ 14.29% มีมูลค่าการส่งออกประมาณ 65 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงประมาณ 8.89% โดยมีการนำเข้าเหล็กลดลงประมาณ 16.7% เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศยังคงชะลอตัวอยู่ โดยเฉพาะเหล็กทรงยาวที่ใช้ในการก่อสร้าง การผลิตลดลงทุกตัวที่เห็นได้จากยอดการอนุมัติปล่อยสินเชื่อในภาคอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวลดลง
สำหรับอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มดีขึ้น จะเป็นสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม โดยการผลิตเส้นใยสิ่งทอ เพิ่มขึ้นประมาณ 3.22% เป็นการใช้เพื่อบริโภคเป็นส่วนใหญ่ ส่วนการผลิตผ้าผืนปรับตัวลดลงประมาณ 4.87% ส่วนหนึ่งมาจากการปิดกิจการของโรงงานทอผ้าในประเทศ ประกอบกับผู้ใช้ในประเทศบางส่วนนำเข้าผ้าจากต่างประเทศ ขณะที่เสื้อผ้าสำเร็จรูป มีการผลิตเพิ่มขึ้นประมาณ 1.2% รวมทั้งการผลิตของอุตสาหกรรมอาหารปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณ 6.6%