นักลงทุนแห่ลงเขตศก.พิเศษ
สิทธิประโยชน์จูงใจบอร์ดบีโอไอหนุนเอสเอ็มอียื่นขอได้

นักลงทุนทั้งไทยและเทศ แห่เข้าลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ บีโอไอเผยได้รับการติดต่อขอข้อมูลด้านการลงทุนและพาลงดูพื้นที่แล้ว ชี้ปัจจัยสิทธิประโยชน์สูงสุดเอื้อ และใช้แรงงานต่างด้าวได้ ขณะที่บอร์ดบีโอไอ ไฟเขียวผ่อนปรนเงื่อนไขเอสเอ็มอีลงทุน 5 แสนบาทยื่นขอส่งเสริมในเขตเศรษฐกิจพิเศษได้ พร้อมอนุมัติส่งเสริม 17 โครงการ เงินลงทุน 4.39 หมื่นล้านบาท
นางหิรัญญา สุจินัย เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า จากที่รัฐบาลมีนโยบายจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษใน 10 พื้นที่ ได้แก่ ตาก สระแก้ว ตราด มุกดาหาร สงขลา เชียงราย หนองคาย นครพนม กาญจนบุรี และนราธิวาส ซึ่งการดำเนินงานมีความคืบหน้าเป็นลำดับนั้น ส่งผลให้ขณะนี้เกิดการตื่นตัวของนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศเป็นอย่างมาก ที่มีความสนใจจะเข้าไปลงทุน
โดยเฉพาะในพื้นที่ตาก และสระแก้ว มีนักลงทุนไทยแสดงความสนใจเข้าลงทุนแล้วประมาณ 5-6 ราย จากการติดต่อผ่านศูนย์ประสานการบริการด้านการลงทุนหรือโอเอสโอเอส ของบีโอไอ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมเบา ที่มีการใช้แรงงานเข้มข้น เช่น สิ่งทอ ชิ้นส่วนยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องเรือน เฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น
ขณะเดียวกันยังได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็น จีน ไทเป ไต้หวัน เกาหลี และญี่ปุ่น ที่มาในรูปของคณะนักลงทุน ในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ การผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค โลจิสติกส์ ศูนย์กระจายสินค้า และอุตสาหกรรม ที่ใช้แรงงานอย่างเข้มข้น เป็นต้น โดยที่ผ่านมาทางบีโอไอได้จัดคณะนักลงทุนดังกล่าวลงสำรวจพื้นที่ดังกล่าวแล้ว
ทั้งนี้ เนื่องจากนักลงทุนมองว่า สิทธิประโยชน์ตามกิจการเป้าหมายตามที่กำหนดไว้ในเขตเศรษฐกิจพิเศษนั้น จูงใจที่จะเข้าไปลงทุน เมื่อเปรียบเทียบกับสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุนใหม่ที่บีโอไอใช้อยู่ในปัจจุบันให้สิทธิประโยชน์น้อยกว่า และยังผ่อนผันให้มีการใช้แรงงานต่างด้าวได้ด้วย ดังนั้น หลังจากที่มีการกำหนดการใช้ที่ดินเสร็จเรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะมีผู้ประกอบการเข้ามาลงทุนมากขึ้น
นางหิรัญญา กล่าวอีกว่า ส่วนการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บอร์ดบีโอไอ) มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ได้พิจารณานโยบายส่งเสริมการลงทุน เพื่อสนับสนุนให้เกิดการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ โดยเห็นชอบให้มีการผ่อนปรนเงื่อนไขสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ต้องการเข้าไปลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งเดิมกำหนดเงื่อนไขว่าต้องมีเงินลงทุนขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท ให้เปลี่ยนเป็นมีเงินขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 5 แสนบาท และอนุญาตให้นำเครื่องจักรใช้แล้วมูลค่าไม่เกิน 10 ล้านบาท มาใช้ในโครงการได้
ขณะที่การลงทุนในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส ซึ่งอยู่ในนโยบายพื้นที่พัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษด้วยนั้น ที่ประชุมเห็นชอบให้โครงการที่ลงทุนใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ นราธิวาส ยะลา ปัตตานี สตูล และ 4 อำเภอในจังหวัดสงขลา (อ.จะนะ อ.เทพา อ.นาทวี อ.สะบ้าย้อย) ได้รับสิทธิประโยชน์ภายใต้นโยบายส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และได้รับการผ่อนปรนเงื่อนไขของกิจการที่จะลงทุนให้เหมือนกับกิจการเป้าหมายในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ รวมทั้งอนุญาตให้ใช้แรงงานต่างด้าวไร้ฝีมือในทุกพื้นที่ จากเดิมที่อนุญาตเฉพาะโครงการที่ลงทุนในนิคมหรือเขตอุตสาหกรรม
นอกจากนี้ บอร์ดบีโอไอยังได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุนกับกิจการจำนวน 17 โครงการ เงินลงทุนรวม 4.39 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นกิจการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ เช่น บริษัท โอตานิ เรเดียล จำกัด ได้รับส่งเสริมการลงทุนกิจการผลิตยางยานพาหนะ เงินลงทุน 6.5 พันล้านบาท ตั้งโครงการที่จังหวัดนครปฐม บริษัท ไดเซล เซฟตี้ ซีสเต็มส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับส่งเสริมการลงทุนกิจการผลิตชิ้นส่วนยานพาหนะ ได้แก่ อุปกรณ์กำเนิดก๊าซสำหรับถุงลมนิรภัย จำนวน 3 โครงการ เงินลงทุนรวม 2.9 พันล้านบาท ตั้งโครงการที่จังหวัดปราจีนบุรี
รองลงมาเป็นกิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน เช่น บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ได้รับส่งเสริมการลงทุนกิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ เงินลงทุน 8.5 พันล้านบาท ตั้งโครงการที่จังหวัดพิษณุโลก รวมถึงการลงทุนกิจการสวนสนุก เงินลงทุน 1.44 พันล้านบาท ตั้งโครงการที่จังหวัดภูเก็ต โดยจะเป็นสวนสนุกประเภทสวนน้ำผสมผสานกับอุทยานสัตว์น้ำ และจะเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวให้แก่จังหวัดภูเก็ต รวมทั้งช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวให้แก่ประเทศด้วย เป็นต้น
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 35 ฉบับที่ 3,069 วันที่ 12 - 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2558