นายโอฬาร พิทักษ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยว่า คาดว่าอีก 10-20
ปีข้างหน้าไทยจะมีโอกาสเกิดปัญหาวิกฤตขาดแรงงานทางการเกษตรอย่างแน่นอน
ดังนั้น เพื่อเป็นการรักษาความเป็นผู้นำทางการเกษตรและอาหารของประเทศ
ตลอดจนส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีเครื่องจักรกลการเกษตรให้เป็นกลไกในการ
พัฒนาการเกษตรยุคใหม่ของประเทศ เพื่อทดแทนแรงงาน ลดต้นทุนการผลิต
เพิ่มประสิทธิภาพทางการเกษตรทั้งเชิงปริมาณ คุณภาพ เวลา
และเพื่อยกระดับความก้าวหน้าในการใช้เทคโนโลยีทางการผลิตสินค้าเกษตรของ
ประเทศ
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงกำหนดยุทธศาสตร์การส่งเสริมการใช้เครื่องจักรกลการ
เกษตรขึ้น
มุ่งเน้นการพัฒนาให้ชุมชนที่เป็นแหล่งผลิตหลักทางการเกษตรได้มีเครื่อง
จักรกลการเกษตรใช้เป็นอุปกรณ์สำคัญในการผลิต ลดความเหนื่อยล้า
และเพิ่มคุณภาพชีวิตให้แก่เกษตรกร
โดยใช้แนวทางการบริหารจัดการร่วมกันในชุมชน
ในรูปแบบศูนย์เรียนรู้ชุมชนด้านเครื่องจักรกลการเกษตร
ในปี
2558 กรมส่งเสริมการเกษตร
จึงได้ดำเนินโครงการส่งเสริมการใช้เครื่องจักรกลการเกษตรทดแทนแรงงานเกษตร
โดยมีเป้าหมายในการสร้างช่างเกษตรท้องถิ่นเพื่อให้คำแนะนำด้านการใช้และ
บำรุงรักษา และซ่อมแซมเครื่องจักรกลการเกษตรประจำท้องถิ่น
โดยร่วมกับสำนักงานเกษตรจังหวัด องค์การบริหารส่วนตำบล
ทำการคัดเลือกบุคคลเป้าหมายจำนวน 3,000 ราย จาก 40
จังหวัดที่มีจำนวนเครื่องยนต์เกษตรหนาแน่น
มาเข้ารับการฝึกอบรมเฉพาะทางร่วมกับภาคเอกชน
และหน่วยงานพัฒนาฝีมือแรงงานในพื้นที่ โดยแบ่งช่างเกษตรท้องถิ่นออกเป็น 3
ระดับ
ระดับแรกนำช่างเกษตรท้องถิ่นทั้งสามพันรายมาอบรมพัฒนาทักษะและเทคนิคที่ถูก
ต้องในด้านการใช้เครื่องยนต์เกษตร
การบำรุงรักษาเครื่องยนต์เกษตรก่อนและหลังการใช้งาน
การเลือกใช้น้ำมันเครื่อง และการจำแนกและเลือกใช้อะไหล่แท้จากบริษัทผู้ผลิต
ในระดับที่สองทำการคัดเลือกเกษตรกรจำนวน 125
รายที่ผ่านการอบรมในสามพันคนข้างต้น
เพื่อพัฒนาทักษะและเทคนิคเพิ่มเติมในด้านการถอดประกอบเครื่องยนต์
การซ่อมแซมกำลังอัดเพื่อแก้ไขข้อขัดข้องของเครื่องยนต์การซ่อมแซมระบบน้ำมัน
เชื้อเพลิง และในระดับที่สามให้เหลือจำนวน 50 ราย
เพื่อเข้ารับการอบรมอย่างเข้มข้น
รวมถึงการวิเคราะห์และแก้ปัญหาการผิดปกติของการทำงานของเครื่องยนต์และชื้น
ส่วนของเครื่องยนต์ ซึ่งจะจัดฝึกอบรมในช่วงเดือนพฤษภาคม ในปีนี้
ประโยชน์
ของการอบรมช่างเกษตรท้องถิ่นทั้ง 3 ระดับนั้น
จะส่งผลให้เกษตรกรสามารถนำความรู้ไปปฏิบัติเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม
เครื่องจักรกลของตนเองได้
ตลอดจนสามารถถ่ายทอดองค์ความรู้เรื่องการใช้และบำรุงรักษาเครื่องยนต์ให้กับ
เพื่อนบ้าน รวมถึงให้บริการตรวจเช็ค
ซ่อมแซมเครื่องยนต์เกษตรแก่เกษตรกรข้างเคียงได้
โดยจะสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมเครื่องยนต์ของเกษตรกร
คิดเป็นมูลค่ากว่า 69 ล้านบาทต่อปี