เงินบาทที่อ่อนค่า ทำให้การค้าขายสินค้าไทยดีขึ้นในตลาดต่างประเทศ กระตุ้นการส่งออก เข้าเป้าก.พาณิชย์ 1.2% อีกทั้งการส่งออกไทยไปตลาดสหภาพยุโรป 9% ของการส่งออกทั้งหมด หากจีดีพีของสหภาพยุโรปดีขึ้น การส่งออกไทยจะดีขึ้นตามด้วย
เมื่อวันที่ 7 พ.ค. ร.อ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการที่เงินบาทอ่อนค่าลงต่อเนื่อง ล่าสุด วานนี้ (6 พ.ค) ปิดตลาดที่ 33.32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเกิดจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ลง 0.25% และการออกมาตรการผ่อนคลายเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศของธนาคารแห่ง ประเทศไทย ซึ่งเงินบาทที่อ่อนค่าลงดังกล่าว ถือเป็นปัจจัยบวกต่อการส่งออกของไทย เพราะเงินบาทที่อ่อนค่าจะทำให้สินค้าไทย สามารถแข่งขันได้ดีขึ้นในตลาดต่างประเทศ และน่าจะทำให้การส่งออกที่ติดลบต่อเนื่องมาหลายเดือนปรับตัวได้ดีขึ้น และเข้าใกล้เป้าหมายที่กระทรวงพาณิชย์ประเมินล่าสุดว่าจะมีการขยายตัว 1.2% ในปีนี้
ขณะเดียวกัน มีรายงานล่าสุดว่า คณะกรรมาธิการยุโรป หรือ EC ได้ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์จีดีพีของกลุ่มประเทศสหภาพยุโรปในปีนี้ จาก 1.7% เป็น 1.8% หลังมีมาตรการอัดฉีดเม็ดเงินผ่านมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อการส่งออกสินค้าของไทยไปยังตลาดดังกล่าวเพิ่มขึ้นด้วย ทั้งนี้ ได้รับทราบจาก นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ว่า ไทยมีการส่งออกสินค้าไปยังตลาดสหภาพยุโรป ในสัดส่วน 9% ของการส่งออกทั้งหมด ซึ่งการที่สหภาพยุโรปมีจีดีพีขยายตัวขึ้น จะทำให้มีความต้องการซื้อสินค้า เพิ่ม และจะทำให้สินค้าส่งออกของไทยได้รับอานิสงส์ด้วย รวมทั้งได้สะท้อนมุมมองของผู้ส่งออกที่ต้องการให้เงินบาทอ่อนค่าลงและมีเสถียรภาพ เพื่อให้สามารถกำหนดต้นทุนได้ชัดเจน