กรุงเทพโพลล์โดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพร่วมกับคณะเศรษฐศาสตร์
เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์จากองค์กรชั้นนำ 25 แห่ง จำนวน 63 คน เรื่อง
“ดัชนีความเชื่อมั่นนักเศรษฐศาสตร์ต่อเศรษฐกิจไทยใน 3-6 เดือนข้างหน้า” โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 1 –
21 เมษายน 2558 ที่ผ่านมา
พบว่า
ดัชนีความเชื่อมั่นนักเศรษฐศาสตร์ที่มีต่อสถานะเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันอยู่ที่ระดับ24.03(เต็ม
100) ลดลงเล็กน้อยจากการสำรวจครั้งที่ผ่านมาที่อยู่ในระดับ 24.51
ซึ่งการที่ดัชนีมีการปรับตัวลดลงและค่าดัชนีอยู่ในระดับต่ำกว่า 50
ค่อนข้างมากสะท้อนให้เห็นถึงสถานะเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันที่ยังอ่อนแอเป็นอย่างมาก
เมื่อวิเคราะห์ลงไปในแต่ละปัจจัยขับเคลื่อนพบว่าปัจจัยที่ค่าดัชนีอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า50
ได้แก่ การบริโภคภาคเอกชน(ดัชนีเท่ากับ 6.45)การส่งออกสินค้า(ดัชนีเท่ากับ 7.26)
การลงทุนภาคเอกชน(ดัชนีเท่ากับ 9.68)
ขณะที่การใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐยังคงขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ไม่เต็มที่
เห็นได้จากค่าดัชนีที่อยู่ในระดับ 38.71
ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำและเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจากการสำรวจครั้งก่อนที่ค่าดัชนีเท่ากับ 38.03
ขณะที่การท่องเที่ยวจากต่างประเทศเป็นปัจจัยเดียวที่ทำงานได้ดีโดยมีค่าดัชนีเท่ากับ 58.06
เพิ่มขึ้นจากการสำรวจครั้งก่อนและอยู่ในระดับที่สูงกว่า 50 เป็นครั้งแรกในรอบ 1 ปี 3
เดือน
ด้านความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยใน 3 เดือนข้างหน้า
ค่าดัชนีอยู่ที่ 58.41 ลดลงจากการสำรวจครั้งที่ผ่านมา (ค่าดัชนีเท่ากับ 70.35)
เช่นเดียวกับความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจในระยะ 6 เดือนข้างหน้าที่ค่าดัชนีอยู่ที่ 72.99
ลดลงจากการสำรวจครั้งที่ผ่านมา(ค่าดัชนีเท่ากับ 80.99)
ซึ่งการที่ค่าดัชนียังอยู่ในระดับที่สูงกว่า 50
สะท้อนให้เห็นว่า นักเศรษฐศาสตร์ยังคงมีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจในอีก 3-6
เดือนข้างหน้าจะยังคงปรับตัวดีขึ้นกว่าปัจจุบัน
แต่ความมั่นใจดังกล่าวมีระดับที่ลดลงอย่างต่อเนื่องจากการสำรวจ 3 ครั้งก่อนหน้า
แสดงให้เห็นว่า แม้เศรษฐกิจข้างหน้าจะดีขึ้นกว่าปัจจุบัน
แต่การดีขึ้นดังกล่าวจะอยู่ในลักษณะค่อยเป็นค่อยไปและเชื่องช้า
ด้านความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ในประเด็นวัฏจักรเศรษฐกิจว่าปัจจุบันเศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงใดของวัฏจักร
พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 52.4 เห็นว่าอยู่ในช่วงเศรษฐกิจถดถอย (Recession) รองลงมาร้อยละ 20.6
เห็นว่าอยู่ในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัว (Recovery) และร้อยละ 14.3 เห็นว่าเศรษฐกิจอยู่ในช่วงตกต่ำ
(Trough) มีเพียงร้อยละ1.6 ที่เห็นว่าเศรษฐกิจอยู่ในช่วงรุ่งเรือง (Peak) เมื่อแบ่งวัฏจักรออกเป็น 2 ฟาก
คือ ฟากเศรษฐกิจขยายตัวจนถึงจุดสูงสุด(ร้อยละ 22.2) และ ฟากเศรษฐกิจถดถอยจนถึงจุดต่ำสุด(ร้อยละ 66.7)
แล้วเปรียบเทียบกับการสำรวจครั้งก่อนหน้าในเดือนมกราคมที่ผ่านมาจะพบว่า
เศรษฐกิจปัจจุบันอยู่ในภาวะถดถอยหรือชะลอตัวซึ่งแตกต่างจากการสำรวจครั้งก่อนหน้าที่มองว่าเศรษฐกิจอยู่ในช่วงฟื้นตัว
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า
(1) เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันยังอยู่ในสถานะที่อ่อนแอเป็นอย่างมาก
(2) แม้เศรษฐกิจข้างหน้าจะดีขึ้นกว่าปัจจุบัน
แต่การดีขึ้นดังกล่าวจะอยู่ในลักษณะค่อยเป็นค่อยไปและเชื่องช้า โดยปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ คือ
การท่องเที่ยวจากต่างประเทศและการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ
(3)
นักเศรษฐศาสตร์มองเศรษฐกิจไทยยังอยู่ใน “ภาวะถดถอย”