มาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน
ปี 2558
จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 26
ระหว่างวันที่ 27-28 เมษายน 2558 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ และเมืองลังกาวี
โดยจะมีการประชุมด้านเศรษฐกิจที่สำคัญก่อน ในวันที่ 26
เมษายน 2558 ได้แก่ การประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC
Council) ครั้งที่ 13
ซึ่ง ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ
พร้อมด้วยนางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ มีกำหนดเข้าร่วม
และการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนและกรรมาธิการยุโรปด้านการค้า ครั้งที่ 13
(AEM-EU Consultations) ซึ่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์เข้าร่วม
นางอภิรดี
ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่
26
ผู้นำจะติดตามความคืบหน้าการจัดตั้งประชาคมอาเซียนในปี 2015
ให้นโยบายเกี่ยวกับการจัดทำวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียนภายหลังปี
2558
รวมถึงแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นภูมิภาคและประเด็นระหว่างประเทศ
ที่สำคัญ โดยประเด็นด้านเศรษฐกิจที่ไทยผลักดันในการประชุมครั้งนี้ ได้แก่
การสร้างประชาคมอาเซียนที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง มีกฎกติกา
มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหามาตรการที่มิใช่ภาษีอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม
การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ภาคการเกษตรเพื่อส่งเสริมให้ภูมิภาคเป็นคลัง อาหารของโลก
การสร้างความเข้มแข็งแก่ SMEs และส่งเสริมความเป็นแกนกลางของอาเซียนในการดำเนินความสัมพันธ์กับภายนอก
โดยในระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งนี้
จะมีการประชุมระหว่างผู้นำอาเซียนกับผู้แทนสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน (ABAC)
เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นด้านการค้าและการลงทุนกับผู้
นำภาคเอกชนของอาเซียน ซึ่งในปีนี้ประเด็นที่นำเสนอเพื่อการสนับสนุนจากภาครัฐ เช่น
การจัดตั้งธนาคารเพื่อผู้ประกอบการรายย่อย ขนาดเล็ก และขนาดกลาง (MSME
Bank) การจัดให้มีช่องทางเข้าเมืองสำหรับคนจากอาเซียน
ณ จุดเข้าเมืองต่างๆ (ASEAN Lane) การปรับปรุงเว็บไซต์สำนักเลขาธิการอาเซียน เป็นต้น
สำหรับประเด็นที่ไทยให้ความสำคัญ ได้แก่ การสร้างความแข็มแข็งให้ SMEs
เพื่อให้มีขีดความสามารถในการแข่งขัน
สนับสนุนให้ภาคเอกชนใช้สิทธิประโยชน์จากประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนอย่างเต็มที่
ผลักดันให้มีการลด/เลิกมาตรการที่มิใช่ภาษี (NTMs) การปรับประสานมาตรฐาน และการอำนวยความสะดวกทางการค้า
นางอภิรดี กล่าวว่า
สำหรับการประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Council) ครั้งที่ 13 เป็นเวทีที่ดูแลภาพรวมในเรื่องประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
ที่ประชุมจะติดตามความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนงานเพื่อการจัดตั้งประชาคม
เศรษฐกิจอาเซียน (AEC Blueprint) ซึ่งขณะนี้อาเซียนสามารถดำเนินการตามมาตรการสำคัญได้ร้อยละ 90.5
โดยคงเหลือ 48 มาตรการที่ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี 2558
ส่วนไทยดำเนินการตามมาตรการสำคัญได้ร้อยละ 93.3
โดยเหลือ 34 มาตรการ ที่ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จ ภายในปี 2558
เช่น
การลงนามและให้สัตยาบันข้อผูกพันการเปิดตลาดการค้าบริการชุดที่ 10
การให้สัตยาบันพิธีสาร 7 แนบท้ายความตกลงอาเซียนว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าผ่านแดน
เป็นต้น
นอกจากนี้
ที่ประชุมจะติดตามความคืบหน้าในประเด็นอื่นๆ ได้แก่
การจัดทำร่างเอกสารกรอบวิสัยทัศน์ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนปี 2025
ซึ่งจะเป็นแผนงานประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC
Blueprint ฉบับใหม่
ซึ่งมีความคืบหน้าไปมากพอสมควรแล้ว
โดยมีกำหนดที่จะเสนอให้ที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (AEM)
ครั้งที่ 47 พิจารณาให้ความเห็นชอบเอกสารในเดือนสิงหาคมนี้
โดยคาดว่าหลังปี 2558 อาเซียนจะมีการรวมกลุ่มอย่างเข้มข้น
โดยจะเปิดเสรีเพิ่มขึ้นรวมทั้งมีการปรับประสานมาตรฐาน
กฎระเบียบต่างๆให้สอดคล้องกันมากขึ้น
นางอภิรดี กล่าวเพิ่มเติมว่า
การประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนและกรรมาธิการยุโรปด้านการค้า ครั้งที่ 13 จะมีการพิจารณาประเด็นสำคัญ ได้แก่
ผลการดำเนินการตามแผนงานด้านการค้าและการลงทุนระหว่างอาเซียนและสหภาพยุโรป ฉบับปี 2013-2014 และให้ความเห็นชอบแผนงานฯ ฉบับใหม่ ปี 2015-2016
การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านเศรษฐกิจโลกและการขยายความร่วมมือระหว่างสอง ภูมิภาค
ความก้าวหน้าของการเจรจาในเวทีพหุภาคีและทวิภาคี
รวมถึงการเจรจาความตกลงการค้าเสรีระหว่างสหภาพยุโรปกับประเทศสมาชิกอาเซียน
รายประเทศ และความเป็นไปได้ในการรื้อฟื้นการเจรจาความตกลงการค้าเสรีระหว่างอาเซียนและ
สหภาพยุโรป
ทั้งนี้
กิจกรรมภายใต้แผนดำเนินการด้านการค้าและการลงทุนฉบับใหม่
จะเน้นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างภูมิภาคในรายสาขาที่สนใจร่วมกัน
ซึ่งสาขาเดิมที่จะดำเนินการต่อเนื่อง เช่น สาขาบริการ พลังงาน การขนส่งทางอากาศ
ส่วนรายสาขาใหม่ที่ได้กำหนดร่วมกัน เช่น การอำนวยความสะดวกทางการค้า มาตรฐานต่างๆ
พิธีการศุลกากร การลงทุน และประเด็นการค้าใหม่ๆ
โดยจะเปิดให้ผู้เชี่ยวชาญของสองภูมิภาค
รวมถึงผู้เชี่ยวชาญจากเอกชนเข้าร่วมเพื่อกำหนดประเด็นอุปสรรคและการแก้ปัญหา
ตลอดจนการมีส่วนร่วมระหว่างกันในสาขาที่เป็นประโยชน์ต่อการเจรจาความตกลงการ
ค้าเสรีระหว่างกันในอนาคต
ปัจจุบัน
อาเซียนเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทย โดยการค้าของไทยกับอาเซียนในปี 2557
มีมูลค่าประมาณ 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณร้อยละ 22
ของการค้าไทยกับทั่วโลก ทั้งนี้ ตลาดส่งออกและแหล่งนำเข้าสำคัญของไทยในอาเซียน
ได้แก่ มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์
สินค้าสำคัญที่ไทยส่งออกไปอาเซียน ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป รถยนต์
อุปกรณ์และส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เม็ดพลาสติก เหล็ก
เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ สินค้าสำคัญที่ไทยนำเข้าจากอาเซียน ได้แก่ น้ำมันดิบ
ก๊าซธรรมชาติ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์