
นายอาคม
เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
และเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยผลงานของ
สศช. ใน 6 เดือนที่ผ่านมาว่าขณะนี้
สศช.กำลังเร่งการลงทุนในโครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวายในประเทศพม่า
โดยจากการหารือกับรัฐบาลญี่ปุ่นล่าสุด
รัฐบาลญี่ปุ่นตกลงที่จะเข้ามาร่วมลงทุนในโครงการดังกล่าว
โดยจะเข้าร่วมนิติบุคคลเฉพาะกิจ (SPV) ร่วมกับประเทศไทยและพม่าที่ปัจจุบันถือหุ้นใน SPV
ฝ่ายละ 50% ทั้งนี้คาดว่าจะมีการลงนามในสัญญาความร่วมมือ (joint
agreement) ระหว่าง 3 ฝ่าย ได้ภายในเดือน กรกฎาคมนี้
ซึ่งจะมีการหารือในรายละเอียดเพิ่มเติม
ระหว่างการเดินทางไปหารือกับหน่วยงานรัฐบาลในญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่นระหว่างวันที่
23
– 25 เมษายน นี้
โดยนอกจากการหารือในเรื่องโครงการฯทวายจะยังมีการหารือในเรื่องอื่นๆ เช่น
ความร่วมมือในด้านการก่อสร้างทางรถไฟ ความร่วมมือในเรื่องอุตสาหกรรม
และความร่วมมือในการลงทุนพัฒนาอุตสาหกรรมเมืองยางพารา (rubber
city) ในประเทศไทยด้วย
นายอาคมกล่าวว่า
สาเหตุที่รัฐบาลญี่ปุ่นตัดสินใจที่จะเข้ามาร่วมลงทุนในโครงการฯทวายหลังจากโครงการมีความล่าช้ากว่า
2
ปีเนื่องจากสามารถตกลงในทิศทางเดียวกันระหว่างรัฐบาลของทั้ง 3 ประเทศ คือไทย
พม่าและญี่ปุ่นถึงความสำคัญของการจัดทำแผนแม่บทของโครงการทวายระยะสมบูรณ์
ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับการจัดทำแผนแม่บททั้งโครงการเป็นอย่างมาก
ขณะนี้สำนักงานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) ร่วมกับ
สศช.ในการศึกษาแผนแม่บทของโครงการฯทวาย โดยคาดว่าจะจัดทำได้แล้วเสร็จภายในเดือน
มิถุนายน และจะประสานความร่วมมือในข้อมูลการศึกษาและความเห็นจากประเทศญี่ปุ่นทั้งใน
ด้านการวางแผนแม่บทโครงการ
และการศึกษาความเป็นไปได้เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ
นอกจากนั้น
ยังมีความเห็นร่วมกันในการสนับสนุนแนวทางการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
ภายในโครงการที่รัฐบาลพม่าควรจะเป็นผู้ลงทุนเองเนื่องจากการลงทุนในโครง
สร้างพื้นฐาน เช่น การก่อสร้างถนน ใช้ระยะเวลานานในการคืนทุน
การให้เอกชนลงทุนเองจะทำให้โครงการเดินหน้าได้ล่าช้าเนื่องจากสถาบันการเงิน
มักไม่อนุมัติเงินกู้ให้กับโครงการที่ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจต่ำ
ซึ่งเมื่อสามารถหารือกันถึงประเด็นต่างเหล่านี้ได้รัฐบาลญี่ปุ่นไม่ขัดข้อง
ที่จะเข้ามาร่วมลงทุน
ทั้งนี้ประเทศได้สนับสนุนเงินกู้ให้กับรัฐบาลพม่าในการลงทุนก่อสร้างถนน 2 เลนถนน เชื่อมโยงจากโครงการฯทวายมายังชายแดนประเทศไทย
บริเวณบ้านพุน้ำร้อน จ.กาญจนบุรี ระยะทาง 132 กิโลเมตร วงเงินลงทุน 4,500 ล้านบาท โดยประเทศไทยจะสนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้กับรัฐบาลพม่าระยะเวลาปล่อยกู้
20 ปี และปลอดระยะเวลาในการชำระเงินกู้ 10 ปี แรก
เพื่อเป็นโครงการสำคัญเร่งด่วนในโครงการฯทวายระยะแรก โดย สศช.
ร่วมกับกระทรวงการคลังจะนำข้อเสนอการให้การสนับสนุนเงินกู้เงื่อนไขผ่อนปรน เสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี
(ครม.) เพื่อขอความเห็นชอบต่อไป
และฝ่ายพม่าจะนำเสนอต่อรัฐสภาฯเพื่อขอความเห็นชอบในการก่อสร้างและทำการ
ศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม(IEA)
คาดว่าใช้เวลาในการดำเนินการก่อสร้าง
3 ปี
สำหรับรายละเอียดของแผนแม่บทสมบูรณ์โครงการฯทวายประกอบไปด้วย
1.นิคมอุตสาหกรรมสำหรับอุตสาหกรรมหนัก อุตสาหกรรมขนาดกลาง
ขนาดเบา อุตสาหกรรมบริการ รวมพื้นที่ขายทั้งหมดประมาณ 132 ตารางกิโลเมตร 2.ท่าเรือน้ำลึก
สามารถรับเรือบรรทุกขนาดใหญ่และรองรับปริมาณสินค้ากว่า 170 ล้านตัน และ 5 ล้าน TEU ต่อปี 3.ถนนสี่ช่องทางจากเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายถึงชายแดนไทยที่บ้านพุน้ำร้อน
จังหวัดกาญจนบุรี ความยาว 132 กิโลเมตร 4.ระบบน้ำเพื่ออุตสาหกรรมและครัวเรือน ขนาด 900,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน รวมทั้งระบบบำบัดน้ำเสีย และ 5.ระบบไฟฟ้าและการพัฒนาเมือง ที่พักอาศัย ศูนย์ราชการ
สำนักงานที่พักผ่อนหย่อนใจ โรงแรม และศูนย์การค้าในพื้นที่
คาดว่าจะใช้เวลาในการก่อสร้างทั้งหมด 5- 10 ปี
“โครงการฯ
ทวายถือว่าเป็นโครงการสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงและ
อยู่ในโครงการที่ประเทศญี่ปุ่นให้การสนับสนุน
โดยเมื่อมีแผนแม่บทที่แน่นอนในการดำเนินการญี่ปุ่นจะเข้ามาให้การสนับสนุน
การลงทุนอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น
โดยโครงการทวายมีความสอดคล้องกับกลยุทธ์กระจายการลงทุนของญี่ปุ่น
โดยให้ไทยเป็นฐานในการกระจาย การลงทุนสู่ประเทศเพื่อนบ้าน
อีกทั้งโครงการทวายยังสอดคล้องกับแนวทางเชื่อมโยงฐานการผลิตสำคัญของไทยและประเทศเพื่อนบ้านกับอินเดีย
ที่ญี่ปุ่น และอินเดีย ให้ความสำคัญ” นายอาคมกล่าว