สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

สศช.รายงานความคืบหน้าโครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย พร้อมดึงญี่ปุ่นร่วมลงนามก่อน ก.ค.นี้
26/04/2015
ข่าวเศรษฐกิจ
https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xta1/v/t1.0-9/11137115_798179463611405_6790172334727430787_n.jpg?oh=6d4d928cd73ef80ad51e4d5ce576779c&oe=55DAD1E6&__gda__=1439188079_968a3ef7bbdfa844a92b41fbf1898914

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยผลงานของ สศช. ใน 6 เดือนที่ผ่านมาว่าขณะนี้ สศช.กำลังเร่งการลงทุนในโครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวายในประเทศพม่า โดยจากการหารือกับรัฐบาลญี่ปุ่นล่าสุด รัฐบาลญี่ปุ่นตกลงที่จะเข้ามาร่วมลงทุนในโครงการดังกล่าว โดยจะเข้าร่วมนิติบุคคลเฉพาะกิจ (SPV) ร่วมกับประเทศไทยและพม่าที่ปัจจุบันถือหุ้นใน SPV ฝ่ายละ 50% ทั้งนี้คาดว่าจะมีการลงนามในสัญญาความร่วมมือ (joint agreement) ระหว่าง 3 ฝ่าย ได้ภายในเดือน กรกฎาคมนี้ ซึ่งจะมีการหารือในรายละเอียดเพิ่มเติม ระหว่างการเดินทางไปหารือกับหน่วยงานรัฐบาลในญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่นระหว่างวันที่ 23 – 25 เมษายน นี้ โดยนอกจากการหารือในเรื่องโครงการฯทวายจะยังมีการหารือในเรื่องอื่นๆ เช่น ความร่วมมือในด้านการก่อสร้างทางรถไฟ ความร่วมมือในเรื่องอุตสาหกรรม และความร่วมมือในการลงทุนพัฒนาอุตสาหกรรมเมืองยางพารา (rubber city) ในประเทศไทยด้วย

นายอาคมกล่าวว่า สาเหตุที่รัฐบาลญี่ปุ่นตัดสินใจที่จะเข้ามาร่วมลงทุนในโครงการฯทวายหลังจากโครงการมีความล่าช้ากว่า 2 ปีเนื่องจากสามารถตกลงในทิศทางเดียวกันระหว่างรัฐบาลของทั้ง 3 ประเทศ คือไทย พม่าและญี่ปุ่นถึงความสำคัญของการจัดทำแผนแม่บทของโครงการทวายระยะสมบูรณ์ ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับการจัดทำแผนแม่บททั้งโครงการเป็นอย่างมาก ขณะนี้สำนักงานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) ร่วมกับ สศช.ในการศึกษาแผนแม่บทของโครงการฯทวาย โดยคาดว่าจะจัดทำได้แล้วเสร็จภายในเดือน มิถุนายน และจะประสานความร่วมมือในข้อมูลการศึกษาและความเห็นจากประเทศญี่ปุ่นทั้งใน ด้านการวางแผนแม่บทโครงการ และการศึกษาความเป็นไปได้เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ

นอกจากนั้น ยังมีความเห็นร่วมกันในการสนับสนุนแนวทางการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ภายในโครงการที่รัฐบาลพม่าควรจะเป็นผู้ลงทุนเองเนื่องจากการลงทุนในโครง สร้างพื้นฐาน เช่น การก่อสร้างถนน ใช้ระยะเวลานานในการคืนทุน การให้เอกชนลงทุนเองจะทำให้โครงการเดินหน้าได้ล่าช้าเนื่องจากสถาบันการเงิน มักไม่อนุมัติเงินกู้ให้กับโครงการที่ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจต่ำ ซึ่งเมื่อสามารถหารือกันถึงประเด็นต่างเหล่านี้ได้รัฐบาลญี่ปุ่นไม่ขัดข้อง ที่จะเข้ามาร่วมลงทุน ทั้งนี้ประเทศได้สนับสนุนเงินกู้ให้กับรัฐบาลพม่าในการลงทุนก่อสร้างถนน 2 เลนถนน เชื่อมโยงจากโครงการฯทวายมายังชายแดนประเทศไทย บริเวณบ้านพุน้ำร้อน จ.กาญจนบุรี ระยะทาง 132 กิโลเมตร วงเงินลงทุน 4,500 ล้านบาท โดยประเทศไทยจะสนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้กับรัฐบาลพม่าระยะเวลาปล่อยกู้ 20 ปี และปลอดระยะเวลาในการชำระเงินกู้ 10 ปี แรก เพื่อเป็นโครงการสำคัญเร่งด่วนในโครงการฯทวายระยะแรก โดย สศช. ร่วมกับกระทรวงการคลังจะนำข้อเสนอการให้การสนับสนุนเงินกู้เงื่อนไขผ่อนปรน เสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อขอความเห็นชอบต่อไป และฝ่ายพม่าจะนำเสนอต่อรัฐสภาฯเพื่อขอความเห็นชอบในการก่อสร้างและทำการ ศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม(IEA)  คาดว่าใช้เวลาในการดำเนินการก่อสร้าง 3 ปี

สำหรับรายละเอียดของแผนแม่บทสมบูรณ์โครงการฯทวายประกอบไปด้วย 1.นิคมอุตสาหกรรมสำหรับอุตสาหกรรมหนัก อุตสาหกรรมขนาดกลาง ขนาดเบา อุตสาหกรรมบริการ รวมพื้นที่ขายทั้งหมดประมาณ 132 ตารางกิโลเมตร 2.ท่าเรือน้ำลึก สามารถรับเรือบรรทุกขนาดใหญ่และรองรับปริมาณสินค้ากว่า 170 ล้านตัน และ 5 ล้าน TEU ต่อปี 3.ถนนสี่ช่องทางจากเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายถึงชายแดนไทยที่บ้านพุน้ำร้อน จังหวัดกาญจนบุรี ความยาว 132 กิโลเมตร 4.ระบบน้ำเพื่ออุตสาหกรรมและครัวเรือน ขนาด 900,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน รวมทั้งระบบบำบัดน้ำเสีย และ 5.ระบบไฟฟ้าและการพัฒนาเมือง ที่พักอาศัย ศูนย์ราชการ สำนักงานที่พักผ่อนหย่อนใจ โรงแรม และศูนย์การค้าในพื้นที่ คาดว่าจะใช้เวลาในการก่อสร้างทั้งหมด 5- 10 ปี

โครงการฯ ทวายถือว่าเป็นโครงการสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงและ อยู่ในโครงการที่ประเทศญี่ปุ่นให้การสนับสนุน โดยเมื่อมีแผนแม่บทที่แน่นอนในการดำเนินการญี่ปุ่นจะเข้ามาให้การสนับสนุน การลงทุนอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยโครงการทวายมีความสอดคล้องกับกลยุทธ์กระจายการลงทุนของญี่ปุ่น โดยให้ไทยเป็นฐานในการกระจาย การลงทุนสู่ประเทศเพื่อนบ้าน อีกทั้งโครงการทวายยังสอดคล้องกับแนวทางเชื่อมโยงฐานการผลิตสำคัญของไทยและประเทศเพื่อนบ้านกับอินเดีย ที่ญี่ปุ่น และอินเดีย ให้ความสำคัญนายอาคมกล่าว

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.