
"จักรมณฑ์"เข็นการลงทุนผ่านกระทรวงอุตสาหกรรมทั้งปีกว่า 1
ล้านล้านบาท ชี้ภาวะเศรษฐกิจเริ่มฟื้น
นักลงทุนมั่นใจขั้นตอนอนุมัติใบรง.4 ฉลุย ปลื้มผลงาน 6 เดือน มีเม็ดเงินลงทุนตั้งโรงงานใหม่และขยายกิจการ 2.289
แสนล้านบาท จี้แก้นำกากอุตสาหกรรมเข้าระบบ 1.2
ล้านตันภายในก.ย.นี้
พร้อมเร่งจัดตั้งศูนย์ทดสอบยางล้อฯแห่งแรกในอาเซียน หวังกระตุ้นการใช้ยางพารา
นายจักรมณฑ์
ผาสุกวนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า
จากภาวะเศรษฐกิจที่ส่งสัญญาณเริ่มฟื้นตัว ประกอบความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ที่มีต่อการขอใบอนุญาตต่างๆ
ที่กระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการลดขั้นตอนลงมาทำให้มีความรวดเร็วมากยิ่ง
ขึ้นนั้น
คาดว่าจะส่งผลให้เกิดการลงทุนที่ผ่านหน่วยงานของกระทรวงอุตสาหกรรมที่ดูแล
อยู่ของปีนี้มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้านบาท
โดนจะมาจากการขอตั้งประกอบกิจการใหม่และขยายกิจการไม่ต่ำกว่า 6 แสนล้านบาท และจะมาจากการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรม
ที่ดูแลโดยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(กนอ.)ไม่ต่ำกว่า 4 แสนล้านบาท โดยยังไม่รวมมูลค่าการลงทุนที่เกิดจากการให้ประทานบัตรในการทำเหมืองแร่ที่
อยู่ระหว่างการอนุมัติอีกเป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้
นับจากที่ตัวเองได้เข้ามาบริหารงานกระทรวงอุตสาหกรรมตั้งแต่เดือนกันยายน 2557 จนถึงเดือนมีนาคม 2558 หรือเป็นระยะเวลาประมาณ 6 เดือน มีความพอใจกับผลงานที่ดำเนินการมา โดยเฉพาะการได้รับความร่วมมือจากบรรดาข้าราชการในสังกัดกระทรวง
ที่ได้ทำงานสอดรับกับนโยบายที่ให้ไป
หากประเมินการทำงานของข้าราชการก็คงต้องให้อยู่ในระดับ 9 คะแนนจากเต็ม 10 คะแนน
โดยจะเห็นได้จากการปรับปรุงลดขั้นตอนและระยะเวลาการพิจารณาอนุญาต
เช่น การขอใบอนุญาตการประกอบกิจการและขยายกิจการ(รง.4)
จากเดิมที่ใช้เวลา 90 วัน ลดลงเหลือ 30 วัน ( 12 ก.ย.57- 12 มี.ค. 58) มีใบอนุญาตที่อนุมัติไปจำนวน 2,528 ราย เกิดการลงทุน 2.289 แสนล้านบาท เกิดการจ้างงาน 9.29 หมื่นราย
และจากการสำรวจข้อมูลล่าสุดพบว่ามีผู้ประกอบการได้แจ้งเริ่มประกอบการและ ขยายกิจการแล้ว
1,840 ราย คิดเป็นเงินลงทุน 1.861 แสนล้านบาท เกิดการจ้างงาน 6.93 หมื่นคน
ส่วนการดำเนินงานของกนอ.ที่ผ่านมาได้ดำเนินการพิจารณาอนุญาตตั้งโรงงานใน
นิคมอุตสาหกรรมไปแล้ว โดยเป็นการแจ้งประกอบกิจการใหม่ 215 คำขอ เงินลงทุน 2.199 แสนล้านบาท เกิดการจ้างงาน 3.22 หมื่นคน แจ้งขยายโรงงาน 65 คำขอ เงินลงทุน 7.86 หมื่นล้านบาท เกิดการจ้างงาน 3.923 พันราย
ขณะที่การขออนุญาตประทานบัตรและอาชญาบัตรสำหรับผู้ประกอบการเหมืองแร่
ที่ลดขั้นตอนการพิจารณาจาก 97 วัน ลดลงมาเหลือ 45 วัน มีการออกใบอนุญาตประทานบัตรและต่ออายุประทานบัตร
อาชญาบัตร อาชญาบัตรพิเศษ และโอนประทานบัตรแล้วจำนวน 188 แปลง คิดเป็นมูลค่าแร่ 2.385 แสนล้านบาท ก่อให้เกิดการลงทุน 4.364 หมื่นล้านบาท
และเกิดการสร้างมูลค่าเพิ่มในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง 4.67 แสนล้านบาท โดยล่าสุดได้มีการอนุญาตประทานบัตรการทำเหมืองแร่โปแตชให้กับบริษัท
โปแตชอาเซียน จำกัด(มหาชน) ไปแล้ว ซึ่งจะก่อให้เกิดการลงทุนในระยะอันใกล้นี้ประมาณ
4 หมื่นบ้านบาท มีมูลค่าแร่สูงถึง 2.12 แสนล้านบาท คิดเป็นการประหยัดการนำเข้าได้ถึง 1 หมื่นล้านบาทต่อปี และภาครัฐได้ประโยชน์ตอบแทน 3.7 พันล้านบาทต่อปี
และยังได้ออกใบประทานบัตรการทำเหมืองแร่ควอตซ์ ให้แก่ บริษัท กรีนไมนิ่ง
อินดัสตรี้ จำกัด จำนวน 1 แปลง เกิดการลงทุน 500 ล้านบาท เพื่อให้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเซลล์แสงอาทิตย์
นอกจากนี้
ยังลดขั้นตอนการพิจารณาออกใบรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(มอก.) จากเดิม 46 วันเหลือเพียง 26 วัน ทำให้มีการออกใบอนุญาตไปแล้ว 2,873 ฉบับ เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภค
และยังได้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี ที่ไม่อนุญาตให้มีการตั้งโรงงานน้ำตาลเพิ่ม
ซึ่งจะช่วยให้การตั้งโรงงานหรือขยายโรงงานน้ำตาลมีความคล่องตัวมากขึ้น
และเกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมดังกล่าวได้
นายจักรมณฑ์
กล่าวอีกว่า สำหรับการแก้ปัญหากากอุตสาหกรรมนั้น ได้นำกากอันตรายเข้าสู่ระบบ 4.47 แสนตัน
พร้อมได้จัดวางยุทธศาสตร์การจัดการกากอุตสาหกรรมในระยะ 5 ปี(2558-2562) โดยกำหนดให้โรงงานจำพวกที่ 3 ประมาณ 6.8 หมื่นราย เข้าสู่ระบบไม่น้อยกว่า 90
% และเพิ่มบทลงโทษผู้ลักลอบทิ้งกาก
จากเดิมปรับไม่เกิน 2 แสนบาท อายุความ 1 ปี ไม่มีโทษคำคุก เพิ่มโทษเป็นจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับ 2 แสนบาท และมีอายุความ 10 ปีโดยตั้งเป้าว่า
จะเพิ่มปริมาณกากอุตสาหกรรมเข้าระบบให้ได้ 1.2 ล้านตัน ภายในเดือนกันยายน 2558 นี้
ส่วนการดำเนินงานหลังจากนี้
จะเร่งจัดตั้งศูนย์ทดสอบยางล้อและสนามทดสอบ ณ อำเภอสนามชัยเขต จังหวัดฉะเชิงเทรา
แห่งแรกในอาเซียน บนพื้นที่ 900 ไร่ ระยะแรกจะใช้งบประมาณ 2.85 พันล้านบาท ระยะเวลา 5 ปี ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการใช้ยางพาราเพิ่มขึ้นประมาณ 1.5
แสนตันต่อปี รวมทั้ง
การผลักดันการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน 5 แห่ง ที่ต้องใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 7
พันล้านบาท
และการปรับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมรองรับมาตรฐานอาเซียน เป็นต้น
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 35 ฉบับที่ 3,046 วันที่ 23
- 25 เมษายน พ.ศ. 2558