“สมหมาย”
จี้ ธปท.ต้องลดดอกเบี้ยนโยบายซ้ำ เพื่อช่วยดูแลภาพรวมเศรษฐกิจ
ระบุลดเพียง 0.25% ไม่ช่วยให้เงินบาทอ่อนค่าหนุนภาคส่งออกได้
ยันมาตรการคลังทำเต็มที่แล้ว ขณะที่ ม.หอการค้าไทย
ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจปีนี้เหลือโต 3.2% จากเดิมคาดโต 3.5-4%

นายสมหมาย ภาษี
รมว.คลัง กล่าวว่า
การดูแลเศรษฐกิจในขณะนี้จำเป็นต้องใช้ทั้งมาตรการทางการคลังและมาตรการทางการเงินเข้ามาช่วยหนุน
โดยในส่วนของมาตรการทางการคลังนั้น ขณะนี้ได้ทำอย่างเต็มที่แล้ว แต่ก็ยังมีมาตรการเข้ามาดูแลอย่างต่อเนื่อง
ส่วนมาตรการการเงินที่ผ่านมา จะเห็นว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
ได้ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงมา แต่การลดเพียง 0.25% นั้น
ไม่ได้ส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อน ดังนั้น จำเป็นต้องทยอยลดดอกเบี้ยซ้ำอีก
“การลดอกเบี้ยครั้งเดียวไม่ช่วย
และถือว่ายังไม่รุนแรง ซึ่งโดยทฤษฎีแล้ว การลดดอกเบี้ยจะต้องทยอยลด เหมือนฉีดยาซ้ำ
เพื่อดึงดอกเบี้ยให้ลงและช่วยให้เงินบาทอ่อนช่วยส่งออกและลดต้นทุนการผลิต
เพราะขณะนี้ในแง่เม็ดเงินถือว่าเรามีล้น แต่เรายังขายของไม่ได้
ก็แสดงว่าสู้เขาไม่ได้ อย่างไรก็ตาม การพิจารณาเรื่องอัตราดอกเบี้ยนั้น
เป็นเรื่องของ ธปท.ที่จะดูแลและในวันที่ 22 เม.ย.นี้
กระทรวงการคลังจะแถลงภาพรวมผลงานที่ได้เข้าไปดูแลเศรษฐกิจ
ซึ่งโดยภาพรวมถือว่ามีความพอใจกับผลงานตัวเอง”
รมว.คลังกล่าวว่า
สำหรับมาตรการทางการคลังในการดูแลเศรษฐกิจระยะต่อไป ขณะนี้มีมาตรการที่จะเข้าไปสนับสนุนและพัฒนากองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง
โดยนอกจากรัฐบาลจะใส่เงินเพิ่มทุนในกองทุนที่มีศักยภาพแล้ว
ทางกระทรวงการคลังจะให้ธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
(ธ.ก.ส.) เข้าไปร่วมปล่อยสินเชื่อในวงเงินแห่งละ 20,000 ล้านบาท รวมเป็น 40,000 ล้านบาท
โดยวงเงินทั้งหมดจะใช้เวลาในการปล่อยสินเชื่อ 2 ปี หรือปีละ 20,000 ล้านบาท ทั้งนี้ เงินสินเชื่อของ 2
ธนาคารจะเริ่มปล่อยเข้าสู่กองทุนหมู่บ้านนับตั้งแต่เดือน เม.ย.นี้
เราต้องเพิ่มพลังให้กองทุนเหล่านี้ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เลยถือโอกาสช่วงหน้าแล้งที่จะใส่เงินเพิ่มทุนผ่านระบบงบประมาณและผ่านการปล่อยสินเชื่อ
ด้านนายธนวรรธน์
พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
กล่าวถึงผลสำรวจ “สถานการณ์ภาวะเศรษฐกิจและธุรกิจไทยไตรมาส 1 และแนวโน้มปี
2558”
ว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกยังไม่ดีขึ้น เพราะธุรกิจ
โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก (เอสเอ็มอี) ยังมีปัญหาด้านการเงิน
ขณะที่สินค้าภาคการเกษตรยังตกต่ำ มูลค่าการส่งออกชะลอตัว
คนจึงระมัดระวังจับจ่ายใช้สอย
แต่เศรษฐกิจได้รับผลดีจากภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตค่อนข้างดี
ทั้งนี้
จากแนวโน้มดังกล่าว ศูนย์ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 2 จะยังคงชะลอตัว
และจะเริ่มดีขึ้นในไตรมาสที่ 3 และ 4
โดยได้ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปี 2558 ใหม่เป็นขยายตัว 3.2%
จากเดิมที่คาดไว้ขยายตัว 3.5-4% และยังมีความเสี่ยงที่จะเติบโตได้ต่ำกว่า 3%
เพราะการเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาลล่าช้ากว่าที่กำหนด ราคาสินค้าเกษตรยังคงตกต่ำ
ปัญหาค่าครองชีพทรงตัวในระดับสูง เศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัว
ทำให้กระทบต่อการส่งออกของไทย
“ไตรมาสที่ 2 เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
หากรัฐบาลเร่งโครงการลงทุน มีการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ
จะกระตุ้นให้เกิดการบริโภค และการลงทุนภาคเอกชน
ซึ่งจะมีส่วนช่วยผลักดันเศรษฐกิจให้ขยายตัว และหากต่อไปเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว
จะทำให้การส่งออกไทยกลับมาดีขึ้น คาดว่าปีนี้การส่งออกไทยจะยังขยายตัวได้ 0.4%
หรืออยู่ในกรอบ 0-1% ส่วนเงินเฟ้อคาดจะอยู่ที่ 0.5% โดยมีกรอบอยู่ที่ 0.3-0.8%”