สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

บีโอไอเร่งล้างท่อ ‘คำขอส่งเสริม’เข็นเกิดลงทุนจริง !!!
19/04/2015
ข่าวเศรษฐกิจ

ไตรมาสแรกผ่านไปแล้ว ภาคเอกชนยังมองไม่เห็นสัญญาณบวกภาพรวมเศรษฐกิจ ทั้งการส่งออก การกระตุ้นกำลังซื้อรากหญ้า รวมถึงการลงทุนที่ยังไม่ขยับตัวเท่าที่ควร ยกเว้นภาคท่องเที่ยวที่ส่งสัญญาณดีขึ้นเพียงตัวเดียว สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ภาคเอกชนโดยคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งประกอบด้วยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและสมาคมธนาคารไทย ต้องหารือร่วมกันในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจอีกครั้ง นำเสนอการแก้ไขปัญหาต่อภาครัฐ และหนึ่งในข้อเสนอดังกล่าว ชงให้รัฐบาลเร่งส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชนให้มากขึ้นต่อประเด็นนี้ได้สัมภาษณ์ หิรัญญา  สุจินัย รักษาราชการแทนเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ถึงความเคลื่อนไหวการลงทุนที่ผ่านการขอรับการส่งเสริมจากบีโอไอ โดยเฉพาะการล้างท่อคำขอรับการส่งเสริมเดิมที่สะสมมาตั้งแต่ปีก่อนๆ

https://scontent-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-xfp1/v/t1.0-9/11014618_793778520718166_1496145308496013943_n.jpg?oh=d67d4f54f8384c72df49aa4341419e94&oe=55E09534

เดือนแรกปีนี้มีการอนุมัติมากขึ้น โดยมีมูลค่าเงินลงทุนเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวเมื่อเปรียบเทียบกันกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน

-เร่งล้างท่อหมดปีนี้

นอกจากนี้ยังมองว่า นับจากนี้ไป จะเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านนโยบายส่งเสริมการลงทุนใหม่ ดังนั้นการยื่นขอรับการส่งเสริมอาจจะชะลอตัวลง และส่วนใหญ่จะเข้ามายื่นคำขอส่งเสริมในอุตสาหกรรมเป้าหมายมากขึ้น ซึ่งเป็นไปตามยุทธศาสตร์ใหม่บีโอไอ  ก็จะทำให้จำนวนโครงการที่เข้ามาพิจารณาในช่วงจากนี้ไปอาจน้อยลง บีโอไอก็จะมีเวลาเคลียร์คำขอส่งเสริมเดิมที่ค้างอยู่มากขึ้น โดยจะเห็นว่าเม็ดเงินที่ปรากฏ ในขั้นตอนการอนุมัติปี2557 จำนวนกว่า 7.24 แสนล้านบาท บวกกับอีก 2 เดือน(ม.ค.-ก.พ.)ปี2558 อีกจำนวน 1.15 แสนล้านบาท รวมตัวเลขกลมๆ ก็ 9แสนล้านบาท ที่จะเป็นตัวเลขที่เกิดการลงทุนตั้งแต่ปี2558 เป็นต้นไป

"บีโอไอพอใจมากกับตัวเลขที่ขยับขึ้นแบบนี้ เพราะที่ผ่านมาถ้าเป็นสถานการณ์ปกติมูลค่าคำขอที่ยื่นขอรับการส่งเสริมเข้ามาจะอยู่ที่ 4-5 แสนล้านบาทต่อปี  ถ้าเรามีนโยบายพิเศษอะไรออกมา หรือจะสิ้นสุดการส่งเสริมในอุตสาหกรรมบางประเภท ก็จะเห็นว่าตัวเลขมูลค่าคำขอจะโด่งขึ้นมาทันที โดยผู้ลงทุนจะรีบมาขอส่งเสริมก่อนที่นโยบาย หรือเงื่อนไขนั้นจะสิ้นสุดลง"

 -เลือกโครงการเกิดผลทางศก.

หิรัญญา  ขยายรายละเอียดว่า ตามการส่งเสริมตามยุทธศาสตร์ใหม่ บีโอไอจะเน้นอุตสาหกรรมเป้าหมายที่อยากได้ ไม่ใช่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่แต่เป็นอุตสาหกรรมที่ใช้ความรู้ของคน เช่น ซอฟต์แวร์ Cloud เซอร์วิส อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับดิจิตอลอีโคโนมี เทรดดิ้งคัมปะนี ที่อยากให้เป็นเทรดดิ้งฮับ ISQ ซึ่งอุตสาหกรรมเหล่านี้ไม่ได้ใช้เงินลงทุนมหาศาล แต่มีผลทางเศรษฐกิจ เพราะสร้างรายได้ที่สูงขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเป็นการเปลี่ยนตัวชี้วัดของบีโอไอด้วยที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับตัวเลขเงินลงทุนมากนัก แต่บีโอไอจะให้ความสำคัญกับกลุ่มอุตสาหกรรมที่มาลงทุน ซึ่งจะเห็นว่าเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีกิจการซอฟต์แวร์เยอะมาก ที่สนใจมายื่นขอรับการส่งเสริม

สำหรับตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการในการยื่นขอส่งเสริมไตรมาสแรกปี2558 มีจำนวนโครงการที่ยื่นเข้ามาแล้วมากกว่า 100 โครงการขึ้นไป คาดว่าเงินลงทุนจะมากกว่า 2 หมื่นล้านบาทขึ้นไป เนื่องจากเป็นโครงการขนาดเล็กแต่ใช้ฐานความรู้เรื่องซอฟต์แวร์  เรื่องอาร์แอนด์ดี ที่จะเกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจมากขึ้น

ทั้งนี้นับจากขั้นตอนที่บีโอไออนุมัติให้การส่งเสริมไปจนถึงขั้นออกบัตรส่งเสริมจะใช้เวลา 6 เดือน และขอขยายเวลาได้ตามกฎหมายอีก1 ปี ขยายครั้งละ 4 เดือนจนครบ  1 ปี  แต่ถ้าเป็นโครงการไม่ใหญ่มากก็จะไม่ขอขยายเวลานาน ดังนั้นจากขั้นตอนอนุมัติไปจนถึงเริ่มดำเนินการจริงๆ ถ้าโครงการที่ขนาดไม่ใหญ่มากก็ใช้เวลา 6 เดือนถึง 1 ปี จึงจะมีการลงทุนจริงเกิดขึ้น เริ่มมีเม็ดเงินลงทุนจริง ยกเว้นว่าเป็นโครงการขนาดใหญ่อาจจะต้องใช้เวลามากกว่า 1 ปีขึ้นไป

อย่างไรก็ตาม ในช่วงรอยต่อการเปลี่ยนผ่านนโยบายใหม่นั้น ถ้าพูดแบบตรงๆ ถามนักลงทุน เปรียบเทียบกับนโยบายเดิมที่มีโซนนิ่ง ถ้าตั้งโรงงานอยู่ไกลก็จะได้รับสิทธิประโยชน์เยอะ   เทียบกับนโยบายใหม่ถ้าอยู่ไกลและเป็นกิจการที่ไม่ใช่อุตสาหกรรมเป้าหมายก็จะได้รับสิทธิประโยชน์น้อยลง นักลงทุนก็ต้องมองว่าเขาได้รับสิทธิประโยชน์น้อยลง แต่ทุกคนก็ยอมรับว่าทิศทางของประเทศของอุตสาหกรรมจะอยู่เดิมๆไม่ได้  จะต้องเป็นอุตสาหกรรมที่ก้าวหน้าขึ้น ไม่อย่างนั้นแล้วจะไปแข่งขันในตลาดโลกไม่ได้  ซึ่งนักลงทุนเข้าใจและยอมรับในประเด็นนี้ และอยู่ในช่วงการปรับตัวมากกว่า  ทุกคนก็มีความตั้งใจที่อยากลงทุนในอุตสาหกรรมที่ต้องพัฒนาอะไรใหม่ๆ ออกมา

-กิจการยอดฮิตขอส่งเสริมมาก

ต่อข้อซักถามที่ว่า ขณะนี้มีกิจการอะไรเป็นที่นิยมมายื่นคำขอส่งเสริมในช่วงนี้ ได้รับคำตอบว่า ที่ทยอยเข้ามาจะเป็นกิจการสำนักงานข้ามประเทศหรือInternational Headquarters: IHQ) และกิจการบริษัทการค้าระหว่างประเทศ (International Trading Centers: ITC) และมีนักลงทุนขอข้อมูลเงื่อนไขและสิทธิประโยชน์กันมาก เข้าใจว่าจากกระแสการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ปลายปีนี้ การขอรับการส่งเสริมในกิจการดังกล่าวจะเป็นการขยายฐานการขายมากขึ้น เป็นการซัพพอร์ตโรงงานผลิต นอกจากนี้ก็เป็นกิจการนิคมหรือเขต Data Center และกิจการ Cloud Service จะรองรับดิจิตอล อีโคโนมี

หิรัญญามองศักยภาพการลงทุนในประทศไทยในขณะนี้ว่า มีจุดขาย อยู่ 5 ด้าน ประกอบด้วย 1.มุ่งไปสู่อุตสาหกรรมที่มีนวัตกรรมใหม่ๆออกมามากขึ้น 2. มีสภาพแวดล้อมในการทำธุรกิจ ที่รัฐบาลพยายามปรับปรุงทุกด้าน เช่นนโยบายใหม่ๆที่ออกมาเสริม เช่น เรื่องเทรดดิ้งฮับ ซึ่งตรงนี้ถ้ามีฐานการผลิตอยู่แล้ว ก็ต้องมีฐานการค้า เพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้า 3. ประสิทธิภาพแรงงานไทยยังสูงกว่าประเทศอื่น แต่ก็มีข้อจำกัดเรื่องขาดแคลนแรงงาน 4. ไทยมีพื้นที่ที่เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ที่สามารถผ่อนปรนใช้แรงงานต่างด้าวได้ และ 5.สำหรับพื้นที่ที่ไม่ได้อยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ก็มีประกาศออกมาเมื่อปลายปี 2557 แล้วว่า แรงงานมีฝีมือต่างด้าวผ่อนปรนให้เข้ามาได้ จนถึงปี 2559 เป็นการทั่วไป

  -ทุนเทศมองไทย

สำหรับท่าทีของทุนต่างชาติมองไทยนั้น รักษาราชการแทนเลขาธิการบีโอไอ กล่าวว่า จากที่คุยกับนักธุรกิจหลายบริษัท ยังยืนยันว่าถ้าเทียบกับหลายๆประเทศ  ประเทศไทยยังน่าลงทุนอยู่ เพราะการลงทุนไม่ได้ดูเฉพาะเรื่องของธุรกิจอย่างเดียว เป็นเรื่องของความเป็นออยู่ การใช้ชีวิต และคนไทยเป็นมิตรกับต่างชาติ อยู่แล้ว มีความสุข มีครอบครัว มีสิ่งอำนวยความสะดวก และค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตในประเทศไทยก็ไม่สูง  แม้แต่ล่าสุดที่ไปโรดโชว์ที่ญี่ปุ่น มีนักลงทุนจำนวนมากยังสนใจสอบถามข้อมูลเพื่อที่จะมาลงทุนในประเทศไทย  จะเห็นว่าประเทศไทยยังเป็นจุดดึงดูดการลงทุนที่น่าสนใจอยู่

"ดูจากตัวเลขคำขอรับการส่งเสริมที่ยื่นเข้ามาตั้งปี 2556-2557 และปี 2558 (ม.ค.-ก.พ.) มีจำนวนโครงการ 5,200 โครงการ เงินลงทุนรวมมูลค่า 3 ล้านล้านบาท และมีโครงการที่บีโอไออนุมัติไปแล้วประมาณ 4,000 โครงการ เงินลงทุน 1.8 ล้านล้านบาท โครงการที่เหลือภายในปี 2558 จะล้างท่อจนหมด

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 35 ฉบับที่ 3,044 วันที่ 16 - 18 เมษายน พ.ศ. 2558

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.