ไตรมาสแรกผ่านไปแล้ว
ภาคเอกชนยังมองไม่เห็นสัญญาณบวกภาพรวมเศรษฐกิจ ทั้งการส่งออก
การกระตุ้นกำลังซื้อรากหญ้า รวมถึงการลงทุนที่ยังไม่ขยับตัวเท่าที่ควร ยกเว้นภาคท่องเที่ยวที่ส่งสัญญาณดีขึ้นเพียงตัวเดียว
สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ภาคเอกชนโดยคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งประกอบด้วยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
(ส.อ.ท.) สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและสมาคมธนาคารไทย ต้องหารือร่วมกันในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจอีกครั้ง
นำเสนอการแก้ไขปัญหาต่อภาครัฐ และหนึ่งในข้อเสนอดังกล่าว ชงให้รัฐบาลเร่งส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชนให้มากขึ้นต่อประเด็นนี้ได้สัมภาษณ์
หิรัญญา สุจินัย
รักษาราชการแทนเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ถึงความเคลื่อนไหวการลงทุนที่ผ่านการขอรับการส่งเสริมจากบีโอไอ
โดยเฉพาะการล้างท่อคำขอรับการส่งเสริมเดิมที่สะสมมาตั้งแต่ปีก่อนๆ

เดือนแรกปีนี้มีการอนุมัติมากขึ้น
โดยมีมูลค่าเงินลงทุนเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวเมื่อเปรียบเทียบกันกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน
-เร่งล้างท่อหมดปีนี้
นอกจากนี้ยังมองว่า
นับจากนี้ไป จะเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านนโยบายส่งเสริมการลงทุนใหม่
ดังนั้นการยื่นขอรับการส่งเสริมอาจจะชะลอตัวลง
และส่วนใหญ่จะเข้ามายื่นคำขอส่งเสริมในอุตสาหกรรมเป้าหมายมากขึ้น
ซึ่งเป็นไปตามยุทธศาสตร์ใหม่บีโอไอ
ก็จะทำให้จำนวนโครงการที่เข้ามาพิจารณาในช่วงจากนี้ไปอาจน้อยลง
บีโอไอก็จะมีเวลาเคลียร์คำขอส่งเสริมเดิมที่ค้างอยู่มากขึ้น
โดยจะเห็นว่าเม็ดเงินที่ปรากฏ ในขั้นตอนการอนุมัติปี2557 จำนวนกว่า 7.24
แสนล้านบาท บวกกับอีก 2 เดือน(ม.ค.-ก.พ.)ปี2558 อีกจำนวน 1.15 แสนล้านบาท
รวมตัวเลขกลมๆ ก็ 9แสนล้านบาท ที่จะเป็นตัวเลขที่เกิดการลงทุนตั้งแต่ปี2558
เป็นต้นไป
"บีโอไอพอใจมากกับตัวเลขที่ขยับขึ้นแบบนี้
เพราะที่ผ่านมาถ้าเป็นสถานการณ์ปกติมูลค่าคำขอที่ยื่นขอรับการส่งเสริมเข้ามาจะอยู่ที่
4-5 แสนล้านบาทต่อปี
ถ้าเรามีนโยบายพิเศษอะไรออกมา หรือจะสิ้นสุดการส่งเสริมในอุตสาหกรรมบางประเภท
ก็จะเห็นว่าตัวเลขมูลค่าคำขอจะโด่งขึ้นมาทันที
โดยผู้ลงทุนจะรีบมาขอส่งเสริมก่อนที่นโยบาย หรือเงื่อนไขนั้นจะสิ้นสุดลง"
-เลือกโครงการเกิดผลทางศก.
หิรัญญา ขยายรายละเอียดว่า
ตามการส่งเสริมตามยุทธศาสตร์ใหม่ บีโอไอจะเน้นอุตสาหกรรมเป้าหมายที่อยากได้
ไม่ใช่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่แต่เป็นอุตสาหกรรมที่ใช้ความรู้ของคน เช่น ซอฟต์แวร์ Cloud เซอร์วิส อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับดิจิตอลอีโคโนมี
เทรดดิ้งคัมปะนี ที่อยากให้เป็นเทรดดิ้งฮับ ISQ ซึ่งอุตสาหกรรมเหล่านี้ไม่ได้ใช้เงินลงทุนมหาศาล
แต่มีผลทางเศรษฐกิจ เพราะสร้างรายได้ที่สูงขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเป็นการเปลี่ยนตัวชี้วัดของบีโอไอด้วยที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับตัวเลขเงินลงทุนมากนัก
แต่บีโอไอจะให้ความสำคัญกับกลุ่มอุตสาหกรรมที่มาลงทุน ซึ่งจะเห็นว่าเดือนมกราคม –กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีกิจการซอฟต์แวร์เยอะมาก ที่สนใจมายื่นขอรับการส่งเสริม
สำหรับตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการในการยื่นขอส่งเสริมไตรมาสแรกปี2558
มีจำนวนโครงการที่ยื่นเข้ามาแล้วมากกว่า 100 โครงการขึ้นไป
คาดว่าเงินลงทุนจะมากกว่า 2 หมื่นล้านบาทขึ้นไป
เนื่องจากเป็นโครงการขนาดเล็กแต่ใช้ฐานความรู้เรื่องซอฟต์แวร์ เรื่องอาร์แอนด์ดี
ที่จะเกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจมากขึ้น
ทั้งนี้นับจากขั้นตอนที่บีโอไออนุมัติให้การส่งเสริมไปจนถึงขั้นออกบัตรส่งเสริมจะใช้เวลา
6 เดือน และขอขยายเวลาได้ตามกฎหมายอีก1 ปี ขยายครั้งละ 4 เดือนจนครบ 1 ปี
แต่ถ้าเป็นโครงการไม่ใหญ่มากก็จะไม่ขอขยายเวลานาน ดังนั้นจากขั้นตอนอนุมัติไปจนถึงเริ่มดำเนินการจริงๆ
ถ้าโครงการที่ขนาดไม่ใหญ่มากก็ใช้เวลา 6 เดือนถึง 1 ปี
จึงจะมีการลงทุนจริงเกิดขึ้น เริ่มมีเม็ดเงินลงทุนจริง
ยกเว้นว่าเป็นโครงการขนาดใหญ่อาจจะต้องใช้เวลามากกว่า 1 ปีขึ้นไป
อย่างไรก็ตาม ในช่วงรอยต่อการเปลี่ยนผ่านนโยบายใหม่นั้น
ถ้าพูดแบบตรงๆ ถามนักลงทุน เปรียบเทียบกับนโยบายเดิมที่มีโซนนิ่ง
ถ้าตั้งโรงงานอยู่ไกลก็จะได้รับสิทธิประโยชน์เยอะ
เทียบกับนโยบายใหม่ถ้าอยู่ไกลและเป็นกิจการที่ไม่ใช่อุตสาหกรรมเป้าหมายก็จะได้รับสิทธิประโยชน์น้อยลง
นักลงทุนก็ต้องมองว่าเขาได้รับสิทธิประโยชน์น้อยลง
แต่ทุกคนก็ยอมรับว่าทิศทางของประเทศของอุตสาหกรรมจะอยู่เดิมๆไม่ได้ จะต้องเป็นอุตสาหกรรมที่ก้าวหน้าขึ้น
ไม่อย่างนั้นแล้วจะไปแข่งขันในตลาดโลกไม่ได้
ซึ่งนักลงทุนเข้าใจและยอมรับในประเด็นนี้ และอยู่ในช่วงการปรับตัวมากกว่า
ทุกคนก็มีความตั้งใจที่อยากลงทุนในอุตสาหกรรมที่ต้องพัฒนาอะไรใหม่ๆ ออกมา
-กิจการยอดฮิตขอส่งเสริมมาก
ต่อข้อซักถามที่ว่า
ขณะนี้มีกิจการอะไรเป็นที่นิยมมายื่นคำขอส่งเสริมในช่วงนี้ ได้รับคำตอบว่า
ที่ทยอยเข้ามาจะเป็นกิจการสำนักงานข้ามประเทศหรือInternational Headquarters: IHQ) และกิจการบริษัทการค้าระหว่างประเทศ
(International Trading Centers: ITC) และมีนักลงทุนขอข้อมูลเงื่อนไขและสิทธิประโยชน์กันมาก
เข้าใจว่าจากกระแสการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ปลายปีนี้ การขอรับการส่งเสริมในกิจการดังกล่าวจะเป็นการขยายฐานการขายมากขึ้น
เป็นการซัพพอร์ตโรงงานผลิต นอกจากนี้ก็เป็นกิจการนิคมหรือเขต Data Center และกิจการ Cloud Service จะรองรับดิจิตอล อีโคโนมี
หิรัญญามองศักยภาพการลงทุนในประทศไทยในขณะนี้ว่า
มีจุดขาย อยู่ 5 ด้าน ประกอบด้วย 1.มุ่งไปสู่อุตสาหกรรมที่มีนวัตกรรมใหม่ๆออกมามากขึ้น
2. มีสภาพแวดล้อมในการทำธุรกิจ ที่รัฐบาลพยายามปรับปรุงทุกด้าน
เช่นนโยบายใหม่ๆที่ออกมาเสริม เช่น เรื่องเทรดดิ้งฮับ
ซึ่งตรงนี้ถ้ามีฐานการผลิตอยู่แล้ว ก็ต้องมีฐานการค้า เพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้า 3.
ประสิทธิภาพแรงงานไทยยังสูงกว่าประเทศอื่น แต่ก็มีข้อจำกัดเรื่องขาดแคลนแรงงาน 4.
ไทยมีพื้นที่ที่เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ที่สามารถผ่อนปรนใช้แรงงานต่างด้าวได้ และ
5.สำหรับพื้นที่ที่ไม่ได้อยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ก็มีประกาศออกมาเมื่อปลายปี 2557 แล้วว่า
แรงงานมีฝีมือต่างด้าวผ่อนปรนให้เข้ามาได้ จนถึงปี 2559 เป็นการทั่วไป
-ทุนเทศมองไทย
สำหรับท่าทีของทุนต่างชาติมองไทยนั้น
รักษาราชการแทนเลขาธิการบีโอไอ กล่าวว่า จากที่คุยกับนักธุรกิจหลายบริษัท
ยังยืนยันว่าถ้าเทียบกับหลายๆประเทศ
ประเทศไทยยังน่าลงทุนอยู่ เพราะการลงทุนไม่ได้ดูเฉพาะเรื่องของธุรกิจอย่างเดียว
เป็นเรื่องของความเป็นออยู่ การใช้ชีวิต และคนไทยเป็นมิตรกับต่างชาติ อยู่แล้ว
มีความสุข มีครอบครัว มีสิ่งอำนวยความสะดวก
และค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตในประเทศไทยก็ไม่สูง
แม้แต่ล่าสุดที่ไปโรดโชว์ที่ญี่ปุ่น มีนักลงทุนจำนวนมากยังสนใจสอบถามข้อมูลเพื่อที่จะมาลงทุนในประเทศไทย
จะเห็นว่าประเทศไทยยังเป็นจุดดึงดูดการลงทุนที่น่าสนใจอยู่
"ดูจากตัวเลขคำขอรับการส่งเสริมที่ยื่นเข้ามาตั้งปี
2556-2557 และปี 2558 (ม.ค.-ก.พ.) มีจำนวนโครงการ 5,200 โครงการ เงินลงทุนรวมมูลค่า 3 ล้านล้านบาท
และมีโครงการที่บีโอไออนุมัติไปแล้วประมาณ 4,000 โครงการ
เงินลงทุน 1.8 ล้านล้านบาท โครงการที่เหลือภายในปี 2558 จะล้างท่อจนหมด
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ
ปีที่ 35 ฉบับที่ 3,044 วันที่ 16 - 18 เมษายน พ.ศ. 2558