สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

ธุรกิจเครื่องจักรเกษตรสู่เมียนมาร์
04/02/2015
ข่าวอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล

อ.แม่สอด จ.ตาก กับ จ.เมียวดี ของเมียนมาร์ ซึ่งถือเป็นเมืองคู่แฝด การค้า การท่องเที่ยวที่สำคัญบนระเบียงเศรษฐกิจแนวตะวันออกสู่ตะวันตก (East West Economic Corridor หรือ EWEC ) หนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญของประชาคมอาเซียน เพราะอ.แม่สอด เป็นจุดส่งออกสินค้าที่สำคัญและสะดวกที่จะส่งไปจุดยังใจกลางของประเทศเมีย นมาร์ สามารถกระจายไปทางด้านทิศใต้คือย่างกุ้ง และทางด้านทิศเหนือคือมัณฑะเลย์

ปัจจุบันสินค้าส่งออกที่สำคัญ อาทิ น้ำมันเชื้อเพลิง, วัสดุก่อสร้าง และเครื่องอุปโภคและบริโภค ยอดการส่งออกผ่านด่าน อ.แม่สอด เมื่อปี 2557 มียอดสูงถึง 59,000 ล้านบาท

เมีย นมาร์ได้กำหนดให้ จ.เมียวดี เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552 ส่วนทางการไทยเองได้จัดตั้ง อ.แม่สอด เป็นเขตเศรษฐกิจ นำร่องของประเทศไทย ซึ่งการค้าระหว่างไทยกับเมียนมาร์คงจะเติบโตมีมูลค่ามหาศาลเพิ่มขึ้นในอนาคต ประกอบกับการเกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ปัจจุบันการลงทุนในด้านอุตสาหกรรมของไทยและต่างชาติในตัวเมืองของเมียนมาร์ มีอย่างต่อเนื่อง แต่ที่น่าสนใจจับตาคือนักธุรกิจระดับท้องถิ่นที่อยู่ตามแนวชายแดนไทย-เมีย นมาร์ ทั้งหมด 10 จังหวัด ระยะทาง 2,401 กม.ได้เตรียมขยับขยายไปลงทุนในเมียนมาร์มากขึ้น

สำหรับ อ.แม่สอด จ.ตากได้มีนักธุรกิจ ได้ไปลงทุนไม่น้อยกว่า 20 ราย ที่สนใจและประสบความสำเร็จ คือ การลงทุนในด้านการส่งออกเครื่องจักรทางด้านการเกษตร เนื่องจากปัจจุบันทางการเมียนมาร์ ได้สนับสนุนให้ประชาชน และนักธุรกิจ ได้หันทำการเกษตรมากขึ้น โดยเฉพาะการปลูกข้าวเพื่อการส่งออก
ดร.สุชาติ ตรีรัตน์วัฒนา อดีตประธานหอการค้าจังหวัดตาก เจ้าของแม่สอดไทยซันกรุ๊ป และเจ้าของคูโบต้าแม่สอด-เมียนมาร์จำกัด ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องจักรเกษตรของคูโบต้าได้เริ่มทำธุรกิจเครื่อง มือการเกษตรมากว่า 30 ปี จำหน่าย เครื่องยนต์คูโบต้า, รถเกี่ยวข้าว, รถไถเดิน ตาม โดยทางคูโบต้าได้มอบหมายให้จัดจำหน่าย ทั้งในเมียนมาร์และประเทศไทย กล่าวว่าในช่วงแรก ๆ การจัดจำหน่ายไม่ดีเท่าที่ควร ทั้งฝั่งไทยและเมียนมาร์ไม่นิยมใช้สินค้าคูโบต้า โดยเฉพาะปัญหาด้านเกษตรกรไทยยังติดกับโครงสร้างระบบเดิม ๆ ต่อมามีการปรับปรุงพัฒนา ก็หันมาใช้เครื่องจักรมากยิ่งขึ้น ส่วนเกษตรกรเมียนมาร์เอง นิยมใช้สินค้าเครื่องจักรที่นำเข้าจากประเทศจีน เนื่องจากราคาถูก แต่คุณภาพไม่ดี ต่อมาทางบริษัทคูโบต้าสำนักงานใหญ่ได้ไปเปิดบริษัทที่เมียนมาร์ มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์, จำหน่ายอะไหล่ และมีการบริการหลังการขาย ทำให้เกษตรกรเมียนมาร์ นิยมและหันไปใช้สินค้ามากขึ้น การสั่งซื้อสินค้าจึงมียอดเพิ่มขึ้น

ส่วนการลงทุนในเมียนมา ร์นั้น จากพื้นฐานที่ค้าขายกันตามแนวชายแดนเป็นเวลานาน จึงได้มีการสนิทสนมกับพ่อค้าชาวเมียนมาร์ มีความจริงใจซึ่งกันและกัน จึงได้ร่วมกันลงทุนในการเปิดบริษัทคูโบต้าแม่สอดเมียนมาร์ ที่ จ.เมียวดี ซึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญคือ ทางการเมียนมาร์ได้จัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษที่จ.เมียวดีนั่นเอง ดังนั้นจึงเปิดกว้างด้านการค้า และอีกประเด็นหนึ่งคือทางการเมียนมาร์ได้ขอร้องให้นักธุรกิจใหญ่ที่มีฐานะ ทางเศรษฐกิจ มาลงทุนในการทำการเกษตรปลูกข้าว โดยการมอบที่ดินให้แต่ละรายพื้นที่จำนวนมาก การปลูกข้าวจึงเกิดขึ้นมากมาย การสั่งซื้อเครื่องจักรทำการเกษตรเพิ่มจำนวนมากเป็นเงาตามตัว ซึ่งทางเมียนมาร์เองจะซื้อสินค้าเป็นเงินสด สำหรับยอดการส่งออกในปีที่ผ่านมา รถแทรกเตอร์ และรถเกี่ยวข้าว ประมาณ 200 คัน รถไถเดินตาม ประมาณ 8,000 คัน มูลค่าการส่งออกรวม 600 ล้านบาท แต่ผลกำไรไม่มากนัก เนื่องจากต้นทุน และการแข่งขันด้านการตลาดสูง

ดร.สุชาติ กล่าวว่า โอกาสสำหรับนักลงทุนใหม่ ๆ ที่ต้องการจะลงทุนในเมียนมาร์นั้น ยังเปิดกว้างสำหรับการลงทุนด้านอุตสาหกรรม แต่เมียนมาร์ยังไม่พร้อมในเรื่อง ไฟฟ้า, ประปา และการขนส่ง แต่ธุรกิจประเภทซื้อมาขายไปยังมีข้อจำกัดสูง โดยเฉพาะการลงทุนจะต้องมีหุ้นส่วนเป็นชาวเมียนมาร์ ปัญหาที่สำคัญอีกเรื่องคือที่ดินในเมียนมาร์มีราคาสูงมาก

นายสมชัยฐ์ หทยะตันย์ติ ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก กล่าวด้วยว่า จ.ตาก โดยเฉพาะ อ.แม่สอด เป็นประตูสู่อันดามัน มีมูลค่าการส่งออกสูง การค้าส่งออกด้านนี้จึงไม่ได้หยุดแค่เมียนมาร์เท่านั้นยังเลยไปถึงอินเดีย บังกลาเทศ จึงอยากจะให้นักธุรกิจรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก และแม่สอดเองจะเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ เป็นโอกาสดีที่จะทำการค้าขายกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งภาครัฐเองคงจะสนับสนุนและอำนวยความสะดวกการทำธุรกิจของเอกชนอย่างเต็ม ที่.

อำนาจ ยุวพันธุ์

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.