สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

โอกาสทองอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทย
06/11/2014
ข่าวอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล

http://www.banmuang.co.th/wp-content/uploads/2014/11/P8500.jpg

ปัจจุบันอิเล็กทรอนิกส์ได้เข้ามามีบทบาทในรถยนต์เพิ่มมากขึ้น โดยที่ผ่านมามูลค่าการผลิตในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์ของโลก ขยายตัวเพิ่มสูงขึ้นทุกปีเฉลี่ยราว 5.5% โดยจุดเริ่มต้นของอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์ในช่วงแรกนั้นมีจุดประสงค์เพื่อควบ คุมการทำงานของเครื่องยนต์เป็นหลัก ซึ่งอยู่ในรูปของอุปกรณ์กล่องควบคุมเครื่องยนต์ ในระยะถัดมาอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์ได้มีการใช้ในรถยนต์เพิ่มมากขึ้นตามลำดับ อาทิ ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) ระบบช่วยการทรงตัวรถยนต์ เซ็นเซอร์ช่วยเบรกฉุกเฉิน เรดาร์ควบคุมความเร็วและระยะห่างรถยนต์อัตโนมัติ (Adaptive or Radar Cruise Control) ระบบนำทาง (GPS) เครื่องเสียงในรถยนต์ เป็นต้น

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า อิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์กลายเป็นเทคโนโลยีที่จำเป็นต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นได้อีกในอนาคต ทั้งนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่และความปลอดภัย การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

O ต้นทุนอิเล็กทรอนิกส์ต่อคัน 30%

แนวโน้มการใช้งานอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์ที่มากขึ้นดังกล่าว และการออกแบบรถยนต์ให้มีความเป็นอัจฉริยะมากขึ้น (Smart Car) ส่งผลให้สัดส่วนมูลค่าต้นทุนของการใช้อิเล็กทรอนิกส์ในรถยนต์ต่อคันเพิ่มสูง ขึ้นมากและเพิ่มขึ้นทุกปี จากในอดีตเมื่อราว 60 ปีที่ผ่านมา มูลค่าต้นทุนการใช้อิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์ต่อคันมีเพียงร้อยละ 1 แต่ในปัจจุบันได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ยเป็น 25-30%

อย่างไรก็ตาม รถยนต์แต่ละประเภทจะมีสัดส่วนมูลค่าต้นทุนของอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์ต่อคัน ที่แตกต่างกัน ตามปริมาณการใช้เทคโนโลยีในยานยนต์ ซึ่งสามารถแบ่งรถยนต์เป็น 3 ประเภทหลัก คือ รถยนต์นั่งขนาดเล็กถึงกลางมีสัดส่วนอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์ต่อคันราว 10-15% รถยนต์หรูมีสัดส่วนอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์ต่อคันราว 20-30% และรถยนต์ไฮบริดมีสัดส่วนอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์ต่อคันถึง 50%

สำหรับในอนาคต คาดว่า สัดส่วนมูลค่าอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์ต่อคันในรถยนต์ทุกๆ ประเภทยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพรถยนต์ และนำเสนอนวัตกรรมเพื่ออำนวยความสะดวกพร้อมทั้งดึงดูดให้ผู้บริโภคตัดสินใจ เลือกซื้อ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนมูลค่าต้นทุนอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์ น่าจะเป็นโอกาสที่น่าสนใจของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทย ในการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์เพื่อตอบสนองความต้องการอุตสาหกรรม การผลิตรถยนต์ของโลก

หากพิจารณาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์โดยทั่วไปจะประกอบไปด้วยชิ้นส่วน อิเล็กทรอนิกส์พื้นฐานหลักๆ 2 ส่วน คือ แผงวงจรพิมพ์ หรือพีซีบี (Printed Circuit Board : PCB) และเซ็นเซอร์ ซึ่งความต้องการชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ทั้งสองแปรผันโดยตรงกับจำนวนอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์ในรถยนต์ สำหรับการผลิต PCB และเซ็นเซอร์เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์นั้นจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีสูง และต้องมีคุณภาพ ทนต่อความร้อนและมีความคงทนสูง เนื่องจากชิ้นส่วนดังกล่าวใช้ในรถยนต์จึงต้องมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน อีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของผู้ขับขี่ด้วย

สำหรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของไทยนั้นสามารถผลิตได้ทั้ง PCB และเซ็นเซอร์ แต่สำหรับการผลิตเซ็นเซอร์อาจจะมีข้อจำกัดอยู่บ้าง เนื่องจากการผลิตเซ็นเซอร์จำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงในขั้นต้น น้ำเพื่อการออกแบบวงจรรวม (Integrated Circuit : IC) ก่อนจะมาผลิตเป็นเซ็นเซอร์ ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีจำนวนผู้ผลิตอิเล็กทรอนิกส์ขั้นต้นน้ำค่อนข้างน้อย ทำให้ส่วนใหญ่ยังคงต้องนำเข้าจากต่างประเทศ แต่สำหรับ PCB นั้น การผลิตส่วนใหญ่เป็นอิเล็กทรอนิกส์ขั้นกลางน้ำ และเทคโนโลยีการผลิตมีความซับซ้อนน้อยกว่าการผลิตเซ็นเซอร์

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงมองว่า ณ ปัจจุบันอิเล็กทรอนิกส์ไทยมีศักยภาพและความพร้อมสูงในการผลิต PCB ยานยนต์ เมื่อเทียบกับเซ็นเซอร์ยานยนต์ ซึ่งยังจำเป็นต้องรอการลงทุนที่เพิ่มขึ้นของอิเล็กทรอนิกส์ขั้นต้นน้ำ เพื่อให้ครบห่วงโซ่การผลิตและสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรม อิเล็กทรอนิกส์ไทยในอนาคต

การเติบโตของ PCB ยานยนต์ยังมีโอกาสขยายตัวสูง ตามความต้องการอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์ที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่ง PCB ยานยนต์ใช้เป็นส่วนประกอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์ในหลายๆ ส่วนการใช้งาน เช่น เครื่องเสียงในรถยนต์ GPS จอ LCD ระบบเบรก ABS และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในรถยนต์อื่นๆ เกือบทุกประเภทดังได้กล่าวข้างต้น ส่งผลให้มูลค่าความต้องการแผงวงจรพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์โลกในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ขยายตัวขึ้นตามลำดับเฉลี่ยถึง 11.0% โดยปี 2556 ที่ผ่านมาขยายตัวถึง 13.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

O ไฮบริดแรงส่งอุตฯ แผงวงจรพิมพ์ยานยนต์

การเติบโตของ PCB ยานยนต์ในตลาดโลกมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องดังที่กล่าวในข้างต้น โดยแรงผลักดันสำคัญมาจากการเติบโตของจำนวนรถยนต์ไฮบริดในตลาดโลกที่เพิ่มสูง ขึ้นอย่างก้าวกระโดดตั้งแต่ปี 2553 ที่ผ่านมา และจากที่ได้กล่าวข้างต้น รถยนต์ไฮบริดมีสัดส่วนมูลค่าต้นทุนอิเล็กทรอนิกส์ต่อคันมากกว่ารถยนต์ประเภท อื่นๆ เนื่องจากมีส่วนเพิ่มเติมของระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ ซึ่งในรถยนต์ประเภทอื่นๆ ไม่มี อีกทั้งระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าดังกล่าวนั้น มี PCB เป็นส่วนประกอบหลัก โดยมีสัดส่วนมูลค่าต้นทุนถึง 26% ของต้นทุนทั้งหมดของระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าของรถยนต์ไฮบริด

นอกจากนี้ การเติบโตของจำนวนการผลิตรถยนต์ไฮบริดของโลก มีแนวโน้มขยายตัวอย่างก้าวกระโดด โดยระหว่างปี 2553 ถึงปี 2556 มีการขยายตัวถึง 1,646 คันและปี 2557 คาดว่าจะขยายตัวถึง 67% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อย่างไรก็ดีการใช้งานรถยนต์ไฮบริดส่วนใหญ่ยังกระจุกตัวอยู่ในไม่กี่ประเทศ ได้แก่ สหรัฐ 38% ญี่ปุ่น 24% ยุโรป 11% และจีน 6.2% รวมเป็นสัดส่วนเกือบ 80% ของจำนวนผู้ใช้รถยนต์ไฮบริดทั่วโลก

ซึ่งกลุ่มประเทศดังกล่าว ภาครัฐมีการสนับสนุนให้ประชาชนใช้งานรถยนต์พลังงานไฟฟ้ามากขึ้น เนื่องจากความกังวลของปริมาณน้ำมันโลกที่ลดลงและเพื่อลดการพึ่งพาน้ำมันที่ ในหลายๆ ประเทศยังต้องนำเข้า การลดมลพิษไอเสียสู่สิ่งแวดล้อม ผ่านนโยบายต่างๆ เช่น การให้เงินทุนเพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทางเลือก การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้ผลิตรถที่ใช้พลังงานทางเลือก รวมทั้งเพิ่มจำนวนจุดเติมไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ จัดเตรียมที่จอดรถหรือไม่มีการคิดค่าจอดรถให้เฉพาะกับรถยนต์ใช้พลังงานไฟฟ้า เป็นต้น

ทำให้คาดได้ว่าในอนาคตราคาของรถยนต์ไฮบริดและไฟฟ้ามีแนวโน้มลดลง และความนิยมน่าจะขยายตัวเพิ่มสูงขึ้น สำหรับในอีก 20 ปีข้างหน้าคาดว่ารถยนต์พลังงานทางเลือกทั้งไฟฟ้าและไฮบริดจะมาทดแทนรถยนต์ ใช้น้ำมันอย่างสมบูรณ์ ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า แนวโน้มความต้องการรถยนต์ไฮบริดในตลาดโลกที่เพิ่มสูง น่าจะเป็นปัจจัยเร่งให้ความต้องการ PCB ยานยนต์ในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย

O ส่งออกแผงวงจรพิมพ์โตกว่า 30%

จากปัจจัยที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น จะเห็นได้ว่าแผงวงจรพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะที่ใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์มีศักยภาพและโอกาสเติบโตค่อนข้างสูง และไทยเหมาะสมเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของโลก เนื่องจากการผลิต PCB ยานยนต์แม้ใช้เทคโนโลยีการผลิตค่อนข้างสูงแต่ความซับซ้อนไม่สูงนัก ซึ่งไทยสามารถพัฒนาเองได้และมีมูลค่าเพิ่มสูงเมื่อเทียบกับ PCB ที่ใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วไป และการแข่งขันด้านราคาไม่สูงนักเนื่องจากผู้ซื้อหรือผู้ผลิตรถยนต์มักจะ คำนึงถึงคุณภาพมากกว่าราคา โดยการส่งออก PCB ของไทยเริ่มขยายตัวอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่ปี 2556 ที่ผ่านมา

จากที่อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทยสามารถกลับมาผลิตได้อย่างเต็ม ประสิทธิภาพหลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยปี 2554 และเครื่องจักรที่มาเปลี่ยนทดแทนเป็นเครื่องจักรใหม่มีเทคโนโลยีและกำลังการ ผลิตสูง สามารถลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการได้มาก กลายเป็นจุดแข็งให้การผลิตวงจรพิมพ์ของไทยมีคุณภาพสูง ราคาสามารถแข่งขันได้ ทำให้การส่งออก PCB ของไทยมีศักยภาพแข่งขันในตลาดโลกได้ดี

ทั้งนี้ภาพรวมการส่งออกแผงวงจรพิมพ์ของไทยในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2557 ขยายตัวถึง 32.6% (YoY) มีมูลค่าการส่งออก 772 ล้านเหรียญสหรัฐ เทียบกับภาพรวมการส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ไทยที่ขยายตัวได้เพียง 3.6% (YoY) จะเห็นได้ว่าการส่งออก PCB ของไทยขยายตัวโดดเด่นกว่าภาพรวมการส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ค่อนข้างมาก

ซึ่งการส่งออก PCB ของไทยส่วนใหญ่ราวร้อยละ 70-75 เป็น PCB เพื่อใช้ในรถยนต์ ส่วนที่เหลือใช้ในอุปกรณ์โทรคมนาคม คอมพิวเตอร์ และอื่นๆ โดยตลาดหลักส่งออก PCB ของไทยเป็นประเทศที่ผลิตรถยนต์ชั้นนำของโลก และตลาดที่ไทยส่งออก 6 อันดับแรก คือ อาเซียน (24.0%) ยุโรป (21.0%) จีน (20.5%) ฮ่องกง (9.7%) สหรัฐ (8.9%) และญี่ปุ่น (4.7%) รวมสัดส่วนถึงราว 90% ของการส่งออก PCB ของไทยทั้งหมด สำหรับการส่งออก PCB ของไทยในตลาดโลก ปัจจุบันอยู่ที่อันดับ 8 ของโลก รองจากจีน ฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สหรัฐ และมาเลเซีย ตามลำดับ หรือเป็นอันดับสองในอาเซียน ซึ่งการส่งออก PCB ของไทยมีอัตราการขยายตัวสูงสุดเมื่อเทียบกับ 7 อันดับแรก ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงคาดว่า หากไทยยังสามารถรักษาการขยายตัวการส่งออกอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง การส่งออก PCB ของไทยน่าจะขยับขึ้นมาเป็นอันดับ 7 ของโลกได้ภายใน 2-3 ปีข้างหน้า

ด้านการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติผ่านสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ของปี 2556 ที่ผ่านมา การลงทุนใน PCB มีการขยายตัวสูงถึง 38% มูลค่าการลงทุนราว 23,557 ล้านบาท สวนทางภาพรวมการลงทุนอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดในปี 2556 ที่หดตัว 32% นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนญี่ปุ่น ที่ค่อนข้างมีความเชี่ยวชาญด้านอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์อยู่ก่อนหน้า

จากแนวโน้มและปัจจัยต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า การส่งออกแผงวงจรพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ปี 2557 น่าจะยังคงขยายตัวได้ในระดับสูงถึงราว 35% หรือมีมูลค่าประมาณ 1,260 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับปี 2558 คาดว่าจะยังคงเติบโตต่อเนื่องในระดับสูงเช่นกัน และน่าจะขยายตัวราว 20-25% หรือมีมูลค่าประมาณ 1,500-1,600 ล้านเหรียญสหรัฐ ตามคำสั่งซื้อจากตลาดหลักที่คาดว่าจะยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการต้องมีการวิจัยและพัฒนาอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ทันกับเทคโนโลยี ใหม่ๆ ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกอย่างมีเสถียรภาพก็ยังเป็นสิ่งที่ต้องจับ ตามอง เนื่องจากมีผลกระทบโดยตรงกับความต้องการรถยนต์และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์โลก

สำหรับในระยะถัดไป ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ประเภทเซ็นเซอร์รถยนต์ ซึ่งมี IC ประเภท Micro-Electro-Mechanical Systems (MEMS) เป็นส่วนประกอบหลัก น่าจะเป็นโอกาสที่สำคัญของอิเล็กทรอนิกส์ไทย เนื่องจาก MEMS มีแนวโน้มการใช้งานเป็นจำนวนมากในรถยนต์ และยังมีการใช้งานในหลายๆ อุตสาหกรรม เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทางการแพทย์ สมาร์ทโฟน อุปกรณ์โทรคมนาคม ด้านอวกาศและอากาศยาน หุ่นยนต์ เป็นต้น อย่างไรก็ดีไทยจำเป็นต้องมีการลงทุนเพิ่มอิเล็กทรอนิกส์ขั้นต้นน้ำ ซึ่งเป็นส่วนของการออกแบบและพัฒนาในการผลิต MEMS เพื่อให้อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทยมีห่วงโซ่การผลิตครบและสามารถพัฒนาเทคโนโลยีด้วยตนเองได้

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.