สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

พล.อ.ประยุทธ์ นั่งหัวโต๊ะประชุมบอร์ด SME เห็นชอบ 4 ยุทธศาสตร์เร่งด่วนส่งเสริม SMEs
03/09/2014
ข่าวอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล

บอร์ดเอสเอ็มอีไฟเขียวแผนหนุน SMEs ระยะเร่งด่วนปี 58 ตามที่ สสว.เสนอ ระบุแบ่งเป็น 4 ยุทธศาสตร์ 13 โครงการ ภายใต้งบดำเนินการ 726.7 ล้านบาท
       
สำหรับการประชุมจัดที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) ถนนราชดำเนิน โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี (SME) ครั้งที่ 2/57 โดยมี พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองหัวหน้า คสช. และหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ คสช. พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ คสช. พร้อมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม
       
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวเปิดการประชุมว่า การปรับปรุงและพัฒนาเอสเอ็มอีมีความสำคัญ ปัจจุบันการคมนาคมขนส่งขนาดใหญ่เป็นห่วงโซ่สัมพันธ์กับธุรกิจเอสเอ็มอี ดังนั้นจึงต้องพัฒนาให้ความสอดคล้องกัน การส่งเสริมเอสเอ็มอีจะต้องเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในด้วยกันเอง แต่ปัญหาในขณะนี้ยังพบว่าบางธุรกิจไม่ทราบว่าตนเองมีสถานะเป็นเอสเอ็มอีหรือ ไม่ จึงต้องสร้างความเข้าใจประชาชนและส่งเสริมแหล่งเงินทุนเพื่อให้สัดส่วน ระหว่างธุรกิจขนาดใหญ่กับธุรกิจที่เป็นเอสเอ็มอีมีความเหมาะสม ทั้งนี้ ต้องปรับปรุงและพัฒนาเอสเอ็มอีให้มีความเข้มแข็ง โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดต้องร่วมกำหนดยุทธศาสตร์และบริหารจัดการ อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจเอสเอ็มอีไปให้ได้
       
หัวหน้า คสช.ย้ำว่า ต้องการรับฟังความคิดเห็นจากคณะกรรมการฯ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล พร้อมทั้งขอให้ติดตามฟังรายการคืนความสุขให้คนในชาติทุกคืนวันศุกร์ เพราะจะมีความคืบหน้าและสั่งการในเรื่องต่างๆ ไปด้วย รวมทั้งต้องการให้ประชาชนและข้าราชการได้ปรับตัวเข้าหากัน

https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xpf1/v/t34.0-12/10656104_972409899451273_789897215_n.jpg?oh=4de263b1acccfd23ba71f5e80d837ec6&oe=5408DC50&__gda__=1409872525_592a218eca1d1274c00e13fae3244516

ดร.วิมลกานต์ โกสุมาศ รองผู้อำนวยการ และรักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า ผลการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เฉพาะกิจ) ครั้งที่ 2/2557 ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในฐานะประธานคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เฉพาะกิจ) ได้มีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์และแผนการดำเนินงานส่งเสริม SMEs ระยะเร่งด่วนปี 2558 ตามที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ได้นำเสนอ

ทั้งนี้ ประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ (4P) รวม 13 โครงการ ซึ่งมุ่งเน้นงานที่สามารถเริ่มดำเนินการได้ทันที และให้ความสำคัญต่อการปรับปรุงการบริหารจัดการงานส่งเสริม SMEs ให้มีประสิทธิภาพ มีเอกภาพ ดำเนินงานสอดคล้องในทิศทางเดียวกัน และมีการสร้างกลไกหรือโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการสนับสนุนให้ SMEs สามารถเริ่มต้นธุรกิจและเติบโตได้ตามวงจรธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่

ยุทธศาสตร์ที่ 1 บูรณาการการบริหารจัดการภาครัฐเพื่อส่งเสริม SMEs ให้มีประสิทธิภาพ (Process) ประกอบด้วย การจัดทำแผนการส่งเสริม SMEs และงบประมาณแบบบูรณาการ การจัดทำฐานข้อมูล SMEs แห่งชาติ การขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ SMEs การสนับสนุนให้ SMEs เข้าถึงตลาด การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ และการลดอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจ
       
ยุทธศาสตร์ที่ 2 ส่งเสริมและพัฒนา SMEs โดยมุ่งเน้นการพัฒนาตามวงจรธุรกิจ (Progress) ประกอบด้วย การจัดตั้งศูนย์ให้บริการ SMEs ครบวงจร การจัดตั้งศูนย์เรียนรู้ธุรกิจ SMEs ออนไลน์ และการสนับสนุนและพัฒนา SME ที่มีศักยภาพสูง
       
ยุทธศาสตร์ที่ 3 สร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าและบริการของ SMEs (Product) ประกอบด้วย โครงการ 1 มหาวิทยาลัย / 1 อาชีวะ : 100 SMEs และการจัดทำทำเนียบผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม
       
และยุทธศาสตร์ที่ 4 เชื่อมโยงเครือข่ายภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศ (Power) เพื่อส่งเสริมและพัฒนา SMEs ประกอบด้วย การส่งเสริมให้ SMEs เป็นสมาชิกองค์การเอกชน การสนับสนุนเครือข่าย SMEs ใน 18 กลุ่ม และการสร้างเครือข่ายธุรกิจกับ SMEs ใน ASEAN

ทั้งนี้ การดำเนินงานภายใต้ยุทธศาสตร์ดังกล่าว ทางคณะกรรมการเห็นชอบให้ สสว.ใช้งบประมาณจำนวน 726.7 ล้านบาท จากกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อให้การดำเนินงานบรรลุเป้าหมายในการตอบสนองนโยบายของ คสช. ที่มุ่งให้ความสำคัญ และผลักดันให้การส่งเสริมเอสเอ็มอีเป็นวาระแห่งชาติ โดยการสร้างให้เกิดการบูรณาการ งานส่งเสริมเอสเอ็มอีของประเทศ และพัฒนาเอสเอ็มอี ให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง คาดว่าจะสามารถเพิ่มสัดส่วนมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมของเอสเอ็มอี (GDP SME) เป็นร้อยละ 38 และสนับสนุนให้มีการจดทะเบียนนิติบุคคลเพิ่มขึ้นจำนวน 50,000 ในปี 2558

นอกจากนี้ยังได้เห็นชอบการกำหนดประเภทของเอสเอ็มอี ที่ควรได้รับการส่งเสริมในช่วงครึ่งหลังของแผนการส่งเสริมเอสเอ็มอี ฉบับที่ 3 ช่วงระหว่างปี 2558-2559 ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการกำหนดมาตรการส่งเสริมช่วยเหลือเอสเอ็มอีเฉพาะกลุ่ม ให้สอดคล้องกับศักยภาพ สภาพปัญหา และความต้องการเพื่อให้เอสเอ็มอีเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับระบบเศรษฐกิจ ไทย โดยพิจารณาจากสาขาธุรกิจที่สร้างประโยชน์และรายได้ให้ประเทศเป็นจำนวนมาก มีการใช้วัตถุดิบในประเทศ มีศักยภาพในการแข่งขันและมีโอกาสในอนาคต ตอบสนองนโยบายสำคัญของรัฐ รวมทั้งคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม ศิลปวัฒนธรรม ประกอบด้วย 2 กลุ่มธุรกิจ

1. ธุรกิจเอสเอ็มอีที่มีการเติบโตสูงของประเทศไทย พิจารณาจากข้อมูลจีดีพีจากมูลค่าจีดีพีของเอสเอ็มอี การจ้างงาน รายได้และผลประกอบการ รวมทั้งนโยบายของภาครัฐฯลฯ มีจำนวน 11 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มธุรกิจก่อสร้าง กลุ่มธุรกิจชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มธุรกิจยานยนต์และชิ้นส่วน กลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มธุรกิจการบริการด้านการศึกษา กลุ่มธุรกิจด้านพลังงาน กลุ่มธุรกิจภาคเกษตรกรรม กลุ่มธุรกิจขนส่งและลอจิสติกส์ กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว กลุ่มธุรกิจการบริการด้านสุขภาพและกลุ่มธุรกิจด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการ สื่อสาร และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์

 2. กลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีสาขาที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจไทย ซึ่งพิจารณาจากข้อมูลค่าการส่งออก-นำเข้า จำนวนเอสเอ็มอีและจำนวนแรงงานมีจำนวน 7 กลุ่มได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล กลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยาง กลุ่มอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์พลาสติก กลุ่มอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม กลุ่มอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ และกลุ่มธุรกิจค้าปลีกและค้าส่ง

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.