จากกรอบยุทธศาสตร์ด้านการส่งเสริมพัฒนาการใช้เครื่องจักรกลและอุปกรณ์ทางการเกษตร ซึ่งได้กำหนดวิสัยทัศน์ให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านการผลิตและใช้เครื่องจักรกลด้านการเกษตรในภูมิภาคอาเซียน โดยมีพันธกิจที่ภาครัฐต้องดำเนินการในช่วงของแผนปี 2557-2561 ในด้านการส่งเสริมการใช้เครื่องจักรกลและอุปกรณ์ทางการเกษตรและระบบสนับสนุนการผลิต การจัดรูปแบบการผลิตให้สอดคล้องกับการใช้เครื่องจักรกลและการพัฒนาเทคโนโลยีตามความต้องการของเกษตรกรและผู้ประกอบการ

นายสุรศักดิ์ พันธ์นพ รองเลขาธิการและโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรได้ติดตามความก้าวหน้าโครงการการส่งเสริมการใช้เครื่องจักรกลการเกษตรทดแทนแรงงานเกษตร ปี 2557 ของกรมส่งเสริมสหกรณ์เพื่อสนับสนุนการผลิตของเกษตรกรรายย่อยในภาคเกษตรที่ขาดแคลนแรงงาน เนื่องจากปัจจุบันมีอายุสูงขึ้นและคนวัยหนุ่มสาวห่างหายการทำอาชีพเกษตรกรรม โดยโครงการฯได้มีนโยบายเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตด้วยการใช้เครื่องจักรกลการเกษตรทดแทนแรงงานเกษตร เพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานการเกษตรหนึ่งของเกษตรกรซึ่งมีการนำเครื่องจักรกลการเกษตรมาใช้เป็นเครื่องทุ่นแรงและทดแทนแรงงานในครัวเรือนที่เคลื่อนย้ายไปทำงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นในลักษณะของการซื้อ เช่า หรือจ้าง ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงและเกษตรกรบางส่วนมีการนำเครื่องจักรกลมาใช้งานเพื่อให้คุ้มค่าใช้จ่ายในการทำการเกษตรและจากการโครงการส่งเสริมการใช้เครื่องจักรกลการเกษตรทดแทนแรงงานเกษตร



“การดำเนินงานโครงการฯ ได้มีการจัดฝึกอบรมให้เกษตรกรมีความรู้เกี่ยวกับการซ่อมแซม ดูแลรักษา ให้เครื่องจักรกลสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติในพื้นที่จังหวัดสระบุรี และลพบุรี ซึ่งผู้เข้ารับการอบรมร้อยละ 72 เป็นสมาชิกสหกรณ์ และร้อยละ 28 เป็นเกษตรกรทั่วไป โดยผู้เข้าอบรมร้อยละ 89 มีอาชีพหลักทำการเกษตร ได้แก่ อ้อยโรงงาน ข้าว มันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กล้วย และผัก ซึ่งเกษตรกรร้อยละ 67 มีแรงงานในครัวเรือนทำการเกษตร เพียง 1-2 ราย/ครัวเรือน และส่วนใหญ่มีเครื่องจักรกลการเกษตร ได้แก่ เครื่องสูบน้ำ เครื่องตัดหญ้า รถไถเดินตาม รถไถนั่งขับขนาดเล็กและใหญ่ เพื่อใช้ในการทำเกษตรกรรม อย่างไรก็ตามพบว่าก่อนเข้ารับการอบรมเครื่องจักรเหล่านั้นมีการชำรุดเสียหาย เกษตรกรมีค่าใช้จ่ายแรงงานในการซ่อมเครื่องจักรกลเกษตรดังกล่าวในอัตราค่าซ่อมตั้งแต่ 100 บาท ถึง 1,200 บาทต่อปี” นายสุรศักดิ์ กล่าว
ทั้งนี้หลังผ่านการอบรม เกษตรกรได้นำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้กับเครื่องจักรกลที่มีอยู่ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม โดยปรับใช้ความรู้ที่ได้รับนี้ไปซ่อมแซมบำรุงรักษาเครื่องจักรกลของตนเองให้อยู่ในสภาพที่ดีพร้อมใช้งานได้ ซึ่งไม่ต้องเสียค่าแรงงานในการซ่อมอีกต่อไปโดยมีเกษตรกรร้อยละ 62 คาดว่าจะทำการซ่อมเครื่องจักรกลเอง ซึ่งสามารถประหยัดต้นทุนการผลิตได้และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตได้ตามวัตถุประสงค์ของโครงการ