สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

กฟก.เร่งจัดการหนี้สินคืนชีวิตใหม่เกษตรกร
04/09/2013
ข่าวอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล

นายสุภาพ คชนูด ประธานกรรมการจัดการหนี้ สำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (กฟก.) เปิดเผยว่า กองทุนฟื้นฟูฯ มีภารกิจหลักใน 2 เรื่องคือ การฟื้นฟูและพัฒนาอาชีพและการจัดการหนี้สินเพื่อที่จะช่วยรักษาที่ดินซึ่งถือเป็นเครื่องมือทางการเกษตรของเกษตรกรเอาไว้ในฐานะที่ตนเป็นประธานกรรมการจัดการหนี้จึงให้ความสำคัญกับการจัดการหนี้เป็นหลัก นับตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา กฟก. สามารถจัดการหนี้ให้แก่เกษตรกรได้จำนวน 23,860 รายจากสถาบันเจ้าหนี้ทั้งหมด 5 กลุ่ม คือ 1. สหกรณ์การเกษตร 2. ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การ เกษตร (ธ.ก.ส.) 3. กลุ่มธนาคารพาณิชย์ 4. กลุ่มธนาคารเฉพาะกิจ 5. โรงงานน้ำตาล โดยจัดการหนี้ออกเป็น 5 ลำดับ เพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของเกษตรกรมากที่สุด คือ 1. ทรัพย์ที่ถูกขายทอดตลาดและมีบุคคลที่ 3 ซื้อไปหรือสถาบันเจ้าหนี้ซื้อไป เรียกว่าหนี้ เอ็นพีเอ 2. หนี้ที่ถูกบังคับคดี 3. หนี้ที่กำลังดำเนินคดีฟ้องคาศาล 4. หนี้ที่ผิดนัด หรือ หนี้ เอ็นพีแอล และ 5. หนี้ปกติ

นายสุภาพ กล่าวต่อว่า เมื่อ กฟก.ชำระหนี้แทนเกษตรกรรายใดแล้วทรัพย์จะถูกโอนมาเป็นของ กฟก. เกษตรกรจะได้รับทรัพย์ไปด้วยการ เช่าหรือเช่าซื้อ ฉะนั้นจึงมั่นใจได้ว่า เมื่อทรัพย์ถูกโอนมาเป็นของ กฟก.แล้ว เกษตรกรจะไม่ถูกยึดทรัพย์ไปขายทอดตลาดอย่างแน่นอนแต่เกษตรกรจะมีรายได้จากการประกอบอาชีพในที่ดินนั้น ส่วนการกำหนดวงเงินแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ 1. หนี้ไม่เกิน 1 ล้านบาท 2. หนี้เกิน 1 ล้านแต่ไม่เกิน 2.5 ล้านบาท และ 3. หนี้ตั้งแต่ 2.5 ล้านบาทขึ้นไป โดย กฟก. จัดการหนี้ได้ทั้งแบบหลักทรัพย์และบุคคลค้ำประกัน โดยจะตัดดอกเบี้ยทั้งหมดออกไปส่วนเงินต้นคงค้างเหลือครึ่งหนึ่งเกษตรกรจะเป็นผู้รับผิดชอบ กองทุน   ฟื้นฟูฯ ก็เหมือนโรงพยาบาล แต่เป็นโรงพยาบาลทางด้านเศรษฐกิจ เวลาที่เกษตรกรขาดทุนก็เหมือนกับการเจ็บป่วย กฟก. ก็มีหน้าที่เยียวยารักษาให้ดีคืนชีวิตใหม่กับเกษตรกร

นายทรงฤทธิ์ จอมแปง เกษตรกรสมาชิกกลุ่มเกษตรกรทำไร่ขัวมุง ต.ขัวมุง อ.สารภี จ.เชียงใหม่ กล่าวหลังจากได้รับการช่วยเหลือจัดการหนี้โดย กฟก. ว่า เดิมเป็นหนี้สหกรณ์การเกษตรสารภี จำนวน 1 แสนกว่าบาท และเป็นหนี้ธนาคารกรุงเทพ เกือบ 5 แสนบาท แต่หลังจากที่กองทุนฟื้นฟูฯ เข้ามาช่วยเหลือจัดการหนี้ให้เหมือนมีคนมาช่วยแบ่งเบาภาระ ทำให้ชีวิตดีขึ้นกว่าเดิมมาก ตอนนี้มีอาชีพปลูกผักชีฝรั่ง ผักขึ้นฉ่ายขายโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง จนสามารถซื้อที่ดินของตัวเองกลับคืนมาจำนวน 2 ไร่ และยังได้ซื้อเพิ่มอีก 6 ไร่ นอกจากนี้ยังมีทุนเช่าที่ดินปลูกเพิ่ม อีก 20 ไร่ทำให้มีรายได้จากการขายผลผลิตเฉลี่ย 5-6 หมื่นบาทต่อเดือน.

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.