กรมโรงงานอุตสาหกรรมเผย 4 ยุทธศาสตร์จัดการกากอุตสาหกรรม ใน 5 ปี พร้อมตั้งเป้า โรงงานที่มีใบอนุญาต ร.ง. 4 เข้าสู่ระบบการจัดการกากฯ ไม่น้อยกว่า 90 % ในปี 2563 คาดถ้าการบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมประสบผลสำเร็จ จะก่อให้เกิดธุรกิจกำจัดกากในประเทศมูลค่ากว่า 5,000-10,000 ล้านบาทต่อปี

ดร. พสุ โลหารชุน อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวว่า แนวโน้มด้านเศรษฐกิจโลกได้เริ่มใช้มาตรฐานความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมมาเป็น มาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (NTB : Non tariff barrier) มาเป็นเครื่องมือให้ทุกชาติที่เป็นผู้ผลิตอยู่ในบรรทัดฐานที่มีการดูแลภาค อุตสาหกรรมที่ทัดเทียมกัน ดังนั้น ประเทศไทยจึงมีความจำเป็นต้องยกระดับอุตสาหกรรมไทยก้าวสู่ยุคสีเขียวอย่าง แท้จริงซึ่งการจัดการกากอุตสาหกรรมถือเป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริมอุตสาหกรรม ไทยให้ได้มาตรฐานทั้งสินค้าและการบริหารจัดการในการผลิต
โดยปัจจุบันภาคอุตสาหกรรมสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยโดยในปี 2557 สร้างมูลค่ามากถึงร้อยละ 40 ของ GDP หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ หรือประมาณ 5 ล้านล้านบาท จาก GDP รวม 12.14 ล้านล้านบาท ทั้งนี้การผลิตในภาคอุตสาหกรรมย่อมเกิดของเสียหรือกากจากวัตถุดิบต่างๆที่ไม่สามารถทำให้เป็นสินค้าได้ทั้งหมด หรือที่เรียกว่ากากอุตสาหกรรมแบ่งเป็น 2 ชนิด ได้แก่ กากอันตราย และ กากไม่อันตราย ซึ่งทั้งหมดจำเป็นต้องได้รับการจัดการที่ถูกต้อง ทั้งนี้กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) มีบทบาทในการจัดการปัญหากากอุตสาหกรรมให้ถูกต้อง จึงกำหนดแผนยุทธศาสตร์ 4 ด้าน ครอบคลุมใน 3 กลุ่มผู้เกี่ยวข้องได้แก่ กลุ่มโรงงานผู้ก่อกำเนิดกาก กลุ่มผู้ขนส่งและ กลุ่มโรงงานผู้รับบำบัด/กำจัด/รีไซเคิลกาก โดยมีรายละเอียดดังนี้
ยุทธศาสตร์ ที่ 1 ควบคุมและกำกับดูแลให้ทุกโรงงานปฏิบัติตามกฎหมาย เนื่องจากปัญหาใหญ่ของการจัดการกากอุตสาหกรรม คือ ผู้ประกอบการ เจ้าของโรงงานผู้ก่อกำเนิดกากส่วนใหญ่มากกว่าร้อยละ 90 ยังไม่ได้มีการจัดการกากอุตสาหกรรมอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ยุทธศาสตร์ ที่ 2 สร้างความร่วมมือและแรงจูงใจ ส่งเสริมการจัดการกากอุตสาหกรรมอย่างเป็นระบบ ขณะเดียวกันได้สร้างแรงจูงใจโดยการเพิ่มสัดส่วนเงินรางวัลจากค่าปรับผู้ลักลอบทิ้งกากให้แก่ประชาชนผู้แจ้งเบาะแส ร้อยละ 25% ของค่าปรับส่วนที่เป็นเงินรางวัล โดยจะมีการขอเพิ่มสัดส่วนนี้ขึ้นหลังจากที่เสนอคณะรัฐมนตรีภายในเดือนมีนาคม
ยุทธศาสตร์ ที่ 3 เครือข่ายภายในประเทศที่ให้การสนับสนุนกระทรวงอุตสาหกรรม โดยเพิ่มความเข้มงวดกับผู้ขนส่งกากอุตสาหกรรมป้องกันไม่ให้เกิดการลักลอบทิ้ง โดยขอความร่วมมือเชิงบูรณาการกับหน่วยงานที่มีอำนาจดูแลยานพาหนะ(รถบรรทุก) และถนน ได้แก่ กรมการขนส่งทางบก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ช่วยตรวจ/ควบคุมรถขนส่งกากอันตรายที่วิ่งตามท้องถนน โดยเฉพาะรถที่ยังไม่มีการขึ้นทะเบียนกับกรมโรงงานและไม่มีติดตั้ง GPS อย่างถูกต้อง
ยุทธศาสตร์ ที่ 4 ปรับปรุงกฎหมายเพื่อติดตามผู้กระทำผิดและอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ปฏิบัติตามกฎหมาย โดยการเข้มงวดกับโรงงานที่ไม่เข้าระบบอย่างถูกต้อง โดยแก้ข้อกฎหมายที่เคยเป็นอุปสรรคทั้งหมด
ดร. พสุ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้จากข้อมูลปี 2557 พบว่าประเทศไทยมีสัดส่วนจำนวนโรงงานผู้ก่อกำเนิดกากฯ กับจำนวนโรงงานผู้รับบำบัด/กำจัด/รีไซเคิล ทั่วประเทศ ประมาณ 40:1 โดย ภาคตะวันออกมีสัดส่วน 12:1 รองลงมาคือภาคกลาง 44:1 ภาคตะวันตก 65:1 ภาคอีสาน 101:1 ภาคเหนือ 102:1 และภาคใต้ 121:1 อย่างไรก็ตาม กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ได้รับมอบหมายจากกระทรวงอุตสาหกรรมทำการศึกษาจัดหาพื้นที่รองรับกากอุตสาหกรรมทั่วประเทศ 6 แห่ง เพื่อให้เพียงพอที่จะจัดการกากอุตสาหกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพภายในอนาคต โดยจะร่วมมือกับกระทรวงอื่นๆรวมทั้งภาคเอกชน หาพื้นที่รองรับกาก (Site selection) ที่เหมาะสมภายในกันยายนนี้
ทั้งนี้กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ได้ทุ่มงบประมาณกว่า 200 ล้านบาทรองรับแผนการดำเนินงาน 4 ยุทธศาสตร์ในระยะ 2 ปีแรก ส่วนงบประมาณรวมสำหรับการจัดการกากอุตสาหกรรม 5 ปี คือ 430 ล้านบาท คาดว่าถ้าการบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมประสบความสำเร็จ จะก่อให้เกิดธุรกิจกำจัดกากในประเทศมูลค่ากว่า 5,000-10,000 ล้านบาทต่อปี
นายวันชัย เหลืองวิริยะ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท อัคคีปราการ จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า บริษัท อัคคีปราการ จำกัด (มหาชน) ได้รับสัมปทานให้เป็นผู้บริหารโครงการให้บริการเผาทำลายสิ่งปฏิกูลและวัสดุที่ไม่ใช้แล้วทุกชนิดเป็นระยะเวลา 20 ปี และสามารถต่อสัญญาได้อีก ปัจจุบันลูกค้าหลักของบริษัทฯ คือ กลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมที่มีการลงทุนจากต่างประเทศ เช่น อเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น ที่มีนโยบายหลักในการจัดการกากอุตสาหกรรมที่เป็นรูปแบบแบบ Zero landfill รวมทั้งอุตสาหกรรมในประเทศทั้งกลุ่ม อุตสาหกรรมปิโตรเคมี กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ และกลุ่มอุตสาหกรรมสี
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยอมรับว่ามีกากอุตสาหกรรมที่เป็นอันตรายหลายกลุ่มที่ยังไม่เข้ากำจัดด้วยวิธีการเผาทำลายด้วยเตาความร้อนสูงของ กรอ. ที่บริษัทเป็นผู้บริหารจัดการ คือ กลุ่มขยะติดเชื้อจากโรงพยาบาล กลุ่มยาปราบศัตรูพืช และยาฆ่าแมลง รวมทั้งกลุ่มกากอุตสาหกรรมที่เหลือจากการนำไปปรับคุณภาพของเสีย ของโรงงานประเภท 106 ซึ่งหากกากอุตสาหกรรมจากกลุ่มผู้ประกอบการเหล่านี้ได้รับการกำจัดด้วยวิธีการที่ถูกต้องด้วยเตาเผาที่ได้มาตรฐานของ กรอ. เชื่อว่าจะช่วยลดปัญหาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ตามนโยบายของ กรอ. ได้เป็นอย่างดี
ในอนาคตเชื่อว่าผู้ประกอบการรับกำจัดกากอุตสาหกรรมในประเทศไทยจะมีแนวโน้มเติบโตได้ดี เนื่องจากภาครัฐได้ให้ความสำคัญกับการกำจัดกากอุตสาหกรรมอย่างถูกวิธีอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันประเทศไทย มีปริมาณกากอุตสาหกรรมอันตรายปีละ 3.35 ล้านตัน และมีแนวโน้ม สูงขึ้นอีกถึงปีละ 5 แสนตัน ซึ่งเตาเผาปัจจุบันที่บริษัทฯ บริหารอยู่ สามารถเผาทำลายได้มากกว่า 50 ตัน/วัน ส่วนในอนาคตหาก กรอ. มีนโยบายจะเพิ่มเตาเผากากอุตสาหกรรมให้มีจำนวนเพิ่มขึ้นครบทุกภาคของประเทศไทย จากประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมของบริษัทฯ จึงพร้อมที่จะให้การสนับสนุนทั้งทางด้านบุคลากร ผู้เชี่ยวชาญและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานในการเข้าไปมีส่วนร่วมให้โครงการนี้ประสบผลสำเร็จได้ตามเป้าหมายภายใน 5 ปี
ผู้ประกอบการสามารถลงทะเบียนเข้าระบบจัดการวัสดุที่ไม่ใช้แล้วทางอิเล็กทรอนิกส์ (E-License) ได้ที่เวบไซท์ของกรมโรงงานอุตสาหกรรม สำนักบริหารจัดการกากอุตสาหกรรม http://www2.diw.go.th/e-license/login.asp หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมโรงงานอุตสาหกรรม 1564