“เราเองอยากเห็นการลดลงทันที 0.50% แต่ก็คงเป็นเรื่องลำบากน่ะอย่างน้อยลงมา 0.25% ก็ยังดีเพราะภาพรวมเวลานี้คือค่าเงินบาทเราก็ยังแข็งค่าและคิวอียุโรปมาอีก การลดดอกเบี้ยก็จะช่วยผู้ส่งออกและผู้ประกอบการลดต้นทุนได้อีกทางหนึ่งในยาม ที่เศรษฐกิจภายในประเทศเองก็ยังไม่ฟื้นตัวนัก” นายสุพันธุ์กล่าว
นายสมเกียรติ อนุราษฎร์ รองประธานกรรมการสภาหอการค้าไทย กล่าวว่า กนง.ควรจะลดอัตราดอกเบี้ยลงมา 0.25% เพื่อที่จะเป็นการดูแลเงินไหลเข้าที่ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ซึ่งปัจจุบันค่าเงินบาทไทยแข็งค่ากว่าประเทศเพื่อนบ้าน
ที่เป็นคู่แข่งทางการค้าทำให้กระทบต่อขีดความสามารถทางการแข่งขัน
รศ.ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดีสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ กล่าวว่า การประชุมกนง. เห็นว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเร่งตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ ปัจจุบันอยู่ในระดับ 2% ลงมาเนื่องจากควรจะเก็บมาตรการนี้ไว้ใช้ยามจำเป็นจะดีกว่าโดยเฉพาะในอีก 3 เดือนข้างหน้าที่จะมีปัจจัยเสี่ยงเข้ามามากกว่าปัจจุบันได้แก่ แนวโน้มสูงที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นช่วงกลางปีนี้ ขณะเดียวกัน ส.ค. 2558 ไทยก็จะเริ่มดีเดย์มาตรการลดคุ้มครองเงินฝาก
“จาก 2 ปัจจัยข้างต้นจะทำให้โอกาสเงินไหลออกมีสูงแล้วเมื่อ กนง.ลดดอกเบี้ยอีกก็จะยิ่งไล่เงินฝากที่มีอยู่ในระบบไหลออก ซึ่งเงินไหลออกจึงน่ากลัวกว่าเงินไหลเข้าและไทยเองก็จะเสียเงินทุนจำนวนมาก ส่วนกรณีผู้ส่งออกที่ต้องการให้ลดดอกเบี้ยลงมาไม่น่าจะช่วยอะไรได้มากนัก และกรณีที่เกรงว่าคิวอียุโรปจะทำให้เงินไหลเข้าผมเองมองว่าเวลานี้ถ้าไหล เข้าเหตุใดหุ้นเอเชียยังคงไม่ฟื้นตัวเลยแสดงว่ายังไม่แรงพอ “รศ.ดร.สมภพกล่าว
อย่างไรก็ตาม จากแนวโน้มดังกล่าวเห็นควรว่าภาครัฐมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเร่งการ ลงทุนในประเทศในเรื่องของการลงทุนด้านระบบสาธารณูปโภค (อินฟราสตรัคเจอร์) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโดยมองว่ารัฐควรจะเน้นการสร้างระบบรถไฟเชื่อมจุดสำคัญๆ ระหว่างการค้าและการท่องเที่ยวโดยวางไว้ 4 จุดคือ เหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตกโดยปรับให้เป็นระยะสั้นๆ แต่ละช่วง เช่น สายใต้ก็ให้เน้นไปหัวหิน สายตะวันออกก็ให้มุ่งไประยองผ่านนิคมฯต่างๆ เป็นต้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่ เศรษฐศาสตร์ ส่วนใหญ่ยังมองว่า กนง.จะยังไม่ลดดอกเบี้ยลงอีกในขณะนี้ โดยผลจาก“กรุงเทพโพลล์” ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ร่วมกับคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์จากองค์กรชั้นนำ 28 แห่ง จำนวน 66 คน เรื่อง “คาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายในรอบการประชุม 2/2558 ของ กนง.” โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 9-17 กุมภาพันธ์ 2558ที่ผ่านมา พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 68.2 คาดว่า กนง.จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ระดับเดิมที่ร้อยละ 2.00 มีเพียงร้อยละ 16.7 เท่านั้นที่คาดว่า กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง โดยส่วนใหญ่เห็นว่า กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.25 ไปอยู่ที่ระดับร้อยละ 1.75 ขณะที่ร้อยละ 15.1 ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาเฉพาะผู้ที่คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะลดลง ทั้งหมดจำนวน 11 คน ในจำนวนนี้มี 9 คนที่เห็นว่าอัตราดอกเบี้ยจะลดลงเพียงร้อย 0.25 และมีจำนวน 1 คน ที่คาดว่าจะลด 0.25%-0.50% และมีจำนวน 1 คน ที่คาดว่าจะลด 1.00%
ขณะที่บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ ระหว่างวันที่9-13 มี.ค. 2558 จะได้รับแรงกดดันจากผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เรื่องอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ในวันที่ 11 มี.ค.นี้ ด้วย รวมทั้งภาพรวมการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ ซึ่งมีแนวโน้มจะเคลื่อนไหวในกรอบ 32.25-32.55 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐโดยประเด็นที่ตลาดให้ความสนใจคือ การตอบรับของตลาดการเงิน ในช่วงต้นสัปดาห์ ต่อตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐ และการประชุม กนง. รวมทั้งสัญญาณจากการเริ่มเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาล และตราสารอื่นๆ ของธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี)