
ดร.มนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้อำนวยการหลักสูตร เอ็มพีเอ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในขณะนี้ไม่สู้ดีนัก ซึ่งสะท้อนผ่านตัวเลขอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาติดลบต่อเนื่อง โดยเดือน ก.พ. เงินเฟ้อติดลบ 0.52% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ซึ่งเป็นตัวเลขสะท้อนเศรษฐกิจภายในประเทศ 1.45% อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อดังกล่าว ยังชี้ชัดไม่ได้ว่าเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะเงินฝืดหรือไม่ เนื่องจากต้องใช้เวลาในการพิจารณาภาวะติดลบที่ต้องต่อเนื่องกัน 3-6 เดือน
แต่ ทั้งนี้ ตัวเลขเศรษฐกิจที่ทยอยประกาศออกมา ล้วนแล้วแต่เป็นสัญญาณเชิงลบ ที่สะท้อนภาพแนวโน้มเศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะน่ากังวล โดยตัวเลขส่งออกในเดือน ม.ค.ติดลบ7.95% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่ติดลบ2.34% ขณะเดียวกัน ตัวเลขการท่องเที่ยวของไทย มีนักท่องเที่ยวลดลงลงจากปีก่อนลบ 6.66% ยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวจากอาเซียน ซึ่งมีมาเลเซียเป็นสำคัญ หรือแม้แต่นักท่องเที่ยวจากจีน และรัสเซีย ที่กำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศ จากการค้าน้ำมัน นับเป็รายได้หลักของประเทศ และความขัดแย้งทางการเมืองกับยูเครน ต่างก็ลดจำนวนเข้ามาท่องเที่ยวในไทยลง ทำให้เศรษฐกิจไทยปัจจุบันค่อนข้างซบเซา เพราะรายได้หลักที่สำคัญของไทย ทั้งการส่งออก และการท่องเที่ยว ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ อุปสงค์ภายในประเทศเองก็ไม่สู้ดีนัก ทั้งปริมาณการใช้ไฟฟ้าภาคครัวเรือน ดัชนีหมวดยานยนต์ และดัชนีหมวดเชื้อเพลิงที่มีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ซึ่งจัดเก็บได้ชะลอตัวลงในเดือนม.ค.ติดลบ 2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมทั้งปริมาณการนำเข้าสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภคก็หดตัวลงติดลบ 0.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่การลงทุนในหมวดเครื่องมือ เครื่องจักร ในช่วงดียวกันนี้ก็หดตัวลงไปติดลบ 4.5% ซึ่งจะเห็นได้ว่า กลไกการบริโภคภาคครัวเรือน ภาคการลงทุน และภาคการส่งออกของไทย อยู่ในสถานการณ์ที่น่ากังวล มีภาวะของการชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด
ทั้งนี้ สถานการณ์เศรษฐกิจไทยปัจจุบัน เรียกได้ว่ากำลังเผชิญกับภาวะติดกับดักสภาพคล่องเพราะกำลังซื้อหดหายจากรายได้จากพืชผลทางการเกษตรลดลง ภาระหนี้สินภาคครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งปัจจุบันภาระหนี้สินภาคครัวเรือนที่เป็นหนี้สินในระบบมีสัดส่วนสูงถึง 85% ของจีดีพี ในจำนวนนี้ยังไม่รวมภาระหนี้นอกระบบ ทำให้รายได้เพื่อการจับจ่ายใช้สอยในภาคครัวเรือนชะลอตัวลง
“สถานการณ์ เช่นนี้ การดำเนินนโยบายการเงิน ด้วยการปรับระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อหวังกระตุ้นเศรษฐกิจอาจใช้ไม่ได้ผล ด้วยเหตุของการติดกับดักสภาพคล่อง ดังนั้นคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ควรคงระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ 2% เช่นเดิม ตลอดจนการกระตุ้นเศรษฐกิจในปัจจุบัน จึงจำเป็นต้องใช้นโยบายการคลัง ด้วยการใช้จ่ายเพื่อการลงทุนของภาครัฐ นำร่องขับเคลื่อนเศรษฐกิจแทนในช่วงแรก ซึ่งช่องว่างสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีของไทย ยังสามารถก่อหนี้เพิ่มได้ในระดับหนึ่ง หรือใช้เงื่อนไขการลงทุนแบบร่วมทุน (พีพีพี) ให้สัมปทาน เพื่อลดภาระหนี้สาธารณะ ก็สามารถดำเนินการได้ ด้วยเครื่องมือทางการคลังมีหลายตัว ไม่ใช่มีเพียงมาตรการทางด้านภาษีเพียงอย่างเดียว เพราะนอกจากจะจัดเก็บไม่ได้ตามเป้าหมายแล้ว ยังส่งผลต่อบรรยากาศในเชิงลบด้วย”
อย่างไรก็ตาม อีกเครื่องมือหนึ่งที่รัฐบาลสามารถเลือกใช้ เพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมเป็นการแบ่งเบาภาระหนี้สาธารณะได้ คือ เครื่องมือตลาดทุน เช่น การระดมทุนจากกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งมีอยู่แล้วได้ เข้ากระตุ้นเศรษฐกิจได้อีกทางหนึ่ง