
จากสัญญาณการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลกที่ต่อเนื่องมาจากช่วงปลายปีก่อน อันเป็นผลมาจากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก น่าจะส่งผลให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรม ที่ปีก่อนต้องประสบปัญหากำลังการผลิตตกต่ำ ยอดการจำหน่ายสินค้าลดลง จากผลกระทบทางการเมือง ทำให้ตัวเลขจีดีพีของภาคอุตสาหกรรมติดลบถึง 1.5-2 % ขณะที่ตัวเลขดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม(เอ็มพีไอ)ติดลบถึง 4 %
ทั้งนี้ จากการประเมินทิศทางอุตสาหกรรมไทยในปี 2558 โดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม(สศอ.) คาดการณ์ว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าทั่วโลกในปีนี้ มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยหน่วยงานต่างๆ คาดว่าจะขยายตัวในช่วง 3.5-4 % ซึ่งจะทำให้การค้าโลกขยายตัวได้ดีขึ้น ในระดับประมาณ 5 % สูงกว่าปี 2557 ที่ขยายตัวเพียง 3.8 % ซึ่งจะช่วยสนับสนุนต่อการฟื้นตัวของการส่งออกและเศรษฐกิจไทยในภาพรวม
นอกจากนี้ จากการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบี โอไอ ในช่วงปีที่ผ่านมา ทำให้การลงทุนของภาคเอกชนในปีนี้มีความชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะโครงการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากลระยะที่ 2 หรืออีโคคาร์ เฟส 2 จำนวน 10 ราย จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้การลงทุนของภาคเอกชนในปีนี้ปรับตัวดีขึ้น และจะเป็นปีที่ภาคการผลิตอุตสาหกรรมรถยนต์ปรับเข้าสู่ฐานการผลิตที่ปกติ หลังจากที่ปีที่ผ่านมาได้รับผลกระทบยอดจำหน่ายในประเทศตกต่ำลง ซึ่งรวมถึงการได้อานิสงส์จากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงด้วย
-จีดีพีอุตฯขยายตัว2-3%
นายอุดม วงศ์วิวัฒน์ไชย ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม(สศอ.) ได้สะท้อนให้เห็นว่าจากปัจจัยดังกล่าวนี้ ทางสศอ.คาดการณ์ว่าจีดีพีของภาคอุตสาหกรรมในปี 2558 นี้จะขยายตัวได้ 2-3 % ส่วนตัวเลขดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมจะกลับมาขยายตัวที่ระดับ 3-4 % ได้ โดยเฉพาะการขยายตัวของอุตสาหกรรมรายสาขาที่สำคัญ อย่างอุตสาหกรรมรถยนต์ คาดว่า การผลิตจะมีการขยายตัวประมาณ 10% หรือคิดเป็นปริมาณการผลิตรถยนต์ประมาณ 2.15 ล้านคัน จากปีก่อนอยู่ที่ประมาณ 1.9 ล้านคัน เนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศและตลาดส่งออกหลักมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น
ขณะที่อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ การผลิตจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 2-4 % เนื่องจากปัจจัยบวกทางด้านนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคภายในประเทศฟื้นตัวได้ รวมถึงการส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าไปประเทศอาเซียนปรับตัวเพิ่มขึ้น ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจในอาเซียน และผู้บริโภคในประเทศอาเซียน เช่น เวียดนาม ที่เชื่อมั่นกับคุณภาพสินค้าจากไทยเมื่อเทียบกับประเทศอื่น
นอกจากนี้ อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า มีการคาดการณ์ว่าความต้องการใช้ภายในประเทศจะเพิ่มขึ้นประมาณ 0-3 % จากปีก่อนใช้อยู่ที่ประมาณ 16.9 ล้านตัน โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนมาจากการลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ เป็นต้น ส่วนอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม การผลิตในภาพรวมจะยังขยายตัวได้ ทั้งการผลิตและส่งออก เพื่อป้อนเข้าสู่ตลาดอาเซียนเป็นหลัก รวมถึงอุตสาหกรรมอาหาร ภาพรวมการผลิตจะขยายตัวประมาณ 0-5 % จากแนวโน้มเศรษฐกิจในประเทศที่เริ่มฟื้นตัวขึ้นและความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ ของผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้น
-ได้อานิสงส์งบกระตุ้นเศรษฐกิจ
สอดคล้องกับข้อมูลของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) ได้ประเมินภาพรวมของอุตสาหกรรมไทยในปี 2558 จะได้รับอานิสงส์จากความเชื่อมั่นและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวมากยิ่ง ขึ้น ประกอบกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐที่มีการเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนต่างๆ วงเงิน 3.6 แสนล้านบาท ในช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2558 และโครงการเพิ่มรายได้ให้กับชาวนาและชดเชยรายได้ให้กับชาวสวนยาง ซึ่งน่าจะช่วยพยุงกำลังซื้อจากภาคเกษตรได้
ขณะที่ภาคการส่งออกน่าจะกลับมามีพัฒนาการที่ดีขึ้นตามการฟื้นตัวของ เศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะแข็งแกร่งขึ้นตามลำดับ เมื่ออุปสงค์ภายในประเทศได้รับแรงกระตุ้นจากมาตรการของภาครัฐ ประกอบกับอุปสงค์ต่างประเทศที่จะแข็งแกร่งขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ย่อมก่อให้เกิดอุปสงค์ต่อสินค้าอุตสาหกรรมอีกทอดหนึ่ง
โดยนายสุพันธ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) ชี้ให้เห็นว่าอุตสาหกรรมหลักๆ ที่จะได้อานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง เช่น ปูนซีเมนต์ เหล็กกระเบื้องปูพื้น หลังคา กระจก และเซรามิก ที่จะได้รับผลดีจากการเบิกจ่ายงบลงทุนของภาครัฐ ประกอบกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง ที่คาดว่าเม็ดเงินจะเริ่มลงสู่ระบบเศรษฐกิจได้ตั้งแต่ช่วงปี 2558 เป็นต้นไป
-กำลังซื้อรถยนต์กลับมา
ขณะที่อุตสาหกรรมยานยนต์แม้ว่าในปี 2557 ชะลอตัวลงจากความต้องการที่ลดลง แต่ในปี 2558 จะกลับมาเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น จากผลกระทบของฐานการขยายตัวของปริมาณจำหน่ายและผลิตรถยนต์ในประเทศที่สูงผิด ปกติจะหมดไป และกำลังซื้อภายในประเทศที่น่าจะฟื้นตัวตามความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มี แนวโน้มปรับดีขึ้นตามลำดับ ประกอบกับการเริ่มดำเนินโครงการอีโคคาร์เฟส 2 ที่น่าจะเริ่มต้นได้ ด้านการส่งออกน่าจะขยายตัวได้ตามภาวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่น่าจะแข็ง แกร่งมากยิ่งขึ้น แต่อาจมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระมัดระวังในเรื่องของภูมิศาสตร์การเมืองในหลาย ประเทศ ซึ่งมีการตั้งเป้าหมายว่าผลิตรถยนต์ได้ที่ 2.2 ล้านคัน
ทั้งนี้ จากการเดินหน้าโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ ในส่วนโครงการลงทุนที่ค้างมานาน เชื่อว่าเมื่อรัฐบาลมีการใช้จ่ายงบประมาณจะช่วยให้ยอดขายรถยนต์ดีขึ้น ทำให้อุตสาหกรรมรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ฟื้นตัวดีขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม อาจมีปัจจัยเสี่ยงจากการลงทุนของนักลงทุนญี่ปุ่นในโครงการลงทุนที่หันไปลง ทุนในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมีขนาดตลาดรถยนต์ใหญ่กว่าไทยด้วยประชากรกว่า 260 ล้านคน โครงการในไทยเพียงรักษาไว้เดินหน้าผลิตต่อไปเท่านั้น ซึ่งเป็นไปได้ว่าในช่วง 4-5 ปีข้างหน้า อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ของอินโดนีเซียอาจแซงหน้าประเทศไทย โดยอินโดนีเซียนำหน้าขึ้นเป็นที่ 1 แทน
-ตลาดส่งออกสินค้าสดใส
ส่วนอุตสาหกรรมปิโตรเคมี คาดว่าจะมีแนวโน้มดีต่อเนื่องจากปี 2557 จากการส่งออกที่ยังคงขยายตัวได้ จากความต้องการของจีนและอาเซียนที่เป็นตลาดหลัก และจะได้รับปัจจัยหนุนจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่จะทำให้ความต้องการวัตถุดิบเม็ดพลาสติกมีเพิ่มขึ้น
ด้านอุตสาหกรรมอาหาร ในปี 2558 คาดว่า ยอดการส่งออกน่าจะมีมูลค่าทะลุ 1 ล้านล้านบาท เนื่องจากญี่ปุ่นจะนำเข้าสินค้าไก่จากไทยเพิ่มขึ้น ภายหลังที่ได้เปิดตลาดไก่สดให้กับประเทศไทย และญี่ปุ่นยังได้ออกมาตรการกีดกันสินค้าไก่จากจีน เพราะไม่ได้มาตรฐาน รวมทั้งยังคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะปรับตัวดีขึ้น แต่ทั้งนี้ จะต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของอุตสาหกรรมผลิตกุ้งว่าจะฟื้นตัวจากโรคอีเอ็ม เอสมากน้อยเพียงใด
ขณะที่อุตสาหกรรมหนังและผลิตภัณฑ์หนัง ตลาดภายในประเทศน่าจะขยายตัวได้จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศที่ได้ รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ภาคการส่งออกอาจจะเติบโตได้บ้าง เนื่องจากตลาดหลักคือตลาดยุโรป ซึ่งในปี 2558 น่าจะมีพัฒนาการในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมากขึ้นกว่าปี 2557
อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ การส่งออกคาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นอีก 5 % เนื่องจากผู้ประกอบการมีการปรับแผนการตลาดใหม่ โดยหันมาเน้นสินค้าไลฟ์สไตล์ที่มีดีไซน์โดดเด่นสวยงามมากขึ้นเพื่อจับตลาดบน ไม่เน้นจับตลาดทั่วไปเหมือนที่ผ่านมา รวมทั้งวางแผนรุกตลาดเออีซีในกลุ่มประเทศเมียนมาร์ สปป.ลาว กัมพูชา
อย่างไรก็ตามในปี 2558 นี้ ก็จะยังมีปัจจัยเสี่ยงที่จะต้องจับตา ไม่ว่าจะเป็นอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังมีความผันผวน ในขณะที่เศรษฐกิจโลกโดยรวมอาจจะมีความเสี่ยงที่จะขยายตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์ ไว้ รวมถึงรายได้ภาคเกษตรกรที่ยังมีแนวโน้มอ่อนตัว ซึ่งจะส่งผลต่อยอดขายสินค้าอุตสาหกรรม เนื่องจากราคาสินค้าเกษตรที่ยังอยู่ในภาวะซบเซา และการลดลงของแรงส่งจากการใช้จ่ายทางตรงเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรระยะสั้น ด้วย
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 3,015 วันที่ 4 - 7 มกราคม พ.ศ. 2558