สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

หม่อยอุ๋ย เชื่อจีดีพีปี 58 โตตามเป้า 4%
07/11/2014
ข่าวเศรษฐกิจ

?หม่อยอุ๋ย เชื่อจีดีพีปี 58 โตตามเป้า 4%?

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “เศรษฐกิจไทย ปี 2558 ฟื้นหรือฟุบ” จัดโดยสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทยและคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ว่าภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในปี 58 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) จะขยายตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีนี้ไม่น้อยกว่า 4% เนื่องจากในปี 57 เศรษฐกิจไทยมีฐานการขยายตัวที่ต่ำจากภาวะเศรษฐกิจ ที่ชะลอตัวจากการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐที่ชะงักมาตั้งแต่เดือน พ.ย. 56 จนถึงเดือน พ.ค.57 รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจในต่างประเทศทั้งสหรัฐฯ ญี่ปุ่นและสหภาพยุโรปยังไม่ฟื้นตัวชัดเจนทำให้ประเทศไทยไม่สามารถพึ่งพาการ ส่งออกได้

ทั้งนี้แม้รัฐบาลจะมีมาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่พบว่าหลักจากการประกาศมาตรการแล้วยังไม่เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจรวดเร็ว อย่างที่คิดไว้เหมือนกับกดปุ่มแล้วงานไม่เดิน ซึ่งเป็นผลมาจากเม็ดเงินงบประมาณในไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณ 58 วงเงิน 1.4 แสนล้านบาท มีการขออนุมัติเบิกจ่ายล่าช้าเนื่องจากหน่วยงานราชการบางส่วนยังไม่ทำเรื่อง การมีการขยายระยะเวลาในการเสนอโครงการและการจัดซื้อจัดจ้างไม่แล้วเสร็จทั้ง นี้เพิ่งมีการเซ็นต์อนุมัติโครงการต่างๆในงบประมาณส่วนนี้ไปเพียง 1.4 หมื่นล้านบาทเท่านั้นซึ่งถือว่าน้อยกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ ขณะที่งบประมาณในการกระตุ้นเศรษฐกิจอีก 2.3 หมื่นล้านบาทที่ต้องการให้เกิดการจ้างงานในชนบทโดยการซ่อมแซมสถานศึกษาและ สถานที่ราชการมีงบประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาทที่เป็นงบประมาณจากโครงการไทยเข้มแข็งที่รัฐบาลจะต้องทำเรื่อง แจ้งให้กับสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) รับทราบก่อนถึงจะเบิกจ่ายได้ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 – 2 สัปดาห์และเงินส่วนนี้จะสามารถลงสู่ระบบเศรษฐกิจได้

“การเบิก จ่ายงบประมาณในการกระตุ้นเศรษฐกิจยอมรับว่ามีความล่าช้าเนื่องจากมีขั้นตอน ทางราชการอยู่ แต่เป็นการล่าช้าที่ไม่เสียเปล่าและจะมีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ เพราะงบไทยเข้มแข็งเมื่อผ่าน สนช.เงินก็จะลงสู่พื้นที่ในช่วงเดือน ธ.ค.ซึ่งชาวนาเกี่ยวข้าวเสร็จพอดีก็จะเป็นการจ้างงานต่อเนื่องหลังฤดูกาล เก็บเกี่ยวทำให้ชนบทมีกำลังซื้อ ขณะที่งบลงทุนในไตรมาสที่ 1 ที่ล่าช้าก็จะไปเบิกจ่ายได้เต็มที่ในช่วงเดือน ม.ค.ปีหน้าซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในปี 2558 และจะช่วยดันเศรษฐกิจในปีหน้าให้ขยายตัวเกิน 4% เนื่องจากการลงทุนภาครัฐในปีหน้าจะเป็นตัวนำเศรษฐกิจได้เต็มที่ซึ่งผมและ รัฐมนตรีฯคลังก็เร่งรัดทุกส่วนเท่าที่จะทำได้”

สำหรับการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะต่อไปหากสามารถขับเคลื่อนการลงทุนภาครัฐได้ ตามแผนแล้วรัฐบาลไม่มีความจำเป็นที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจโดยใช้การอัดฉีดเม็ด เงินลงไปอีกแต่จะต้องกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการกระทำและการมีแผนในการขับ เคลื่อนโครงการต่างๆให้มีความชัดเจน ทั้งนี้ได้มีการหารือกับกระทรวงคมนาคมว่าในปี 2558 จะมีการเร่งรัดการประมูลโครงการรถไฟฟ้าในกรุงเทพ – ปริมณฑล โดยจะมีการเปิดให้เอกชนประมูลเป็นผู้เดินรถใน 8 เส้นทาง ซึ่งแบ่งกันอย่างชัดเจนว่ารัฐบาลจะลงทุนในระบบราง ต่าเอกชนจะเป็นผู้ลงทุนระบบเดินรถและสถานีต่างๆ ซึ่งเป็นการแบ่งบทบาทอย่างชัดเจนเพราะที่ผ่านมาพบว่าหากรัฐบาลเป็นผู้ดำเนิน การเดินรถเองมักมีปัญหาในการให้บริการ เช่น โครงการของแอร์พอร์ตลิ้ง และรถเมล์ ของบริษัทขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (ขสมก.)

ทั้งนี้ในสัญญาการเดินรถไฟฟ้าที่เอกชนจะมีการประมูลจะมีการกำหนดเงื่อนไขการ ปรับขึ้นราคาค่าโดยสารของเอกชนว่าจะใช้ระบบคำนวนค่าโดยสารจากจำนวนผู้โดยสาร ไม่ใช่การปรับขึ้นค่าโดยสารตามระยะเวลาการให้บริการเพื่อเป็นการแก้ปัญหาการ ปรับขึ้นค่าโดยสารเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปเหมือนกับระบบค่าทางด่วนใน ปัจจุบันที่ปรับเพิ่มขึ้นทั้งที่มีจำนวนรถใช้ทางด่วนเพิ่มขึ้น

ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าวต่อว่า ในระยะต่อไปจะต้องให้ความสำคัญกับการแก้ไขจุดอ่านทางเศรษฐกิจของไทยได้แก่ ปัญหาการใช้พลังงานและน้ำมันอย่างฟุ่มเฟือย โดยขณะนี้ประเทศไทยใช้พลังงานสูงถึง 18% ของจีดีพี ซึ่งการส่งเสริมการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพต้องทำโดยการลดอุดหนุนราคา พลังงานและปรับโครงสร้างราคาให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงมากขึ้น การเพิ่มการจัดเก็บภาษีเพื่อเพิ่มงบประมาณในการลงทุนของภาครัฐที่ปัจจุบันมี อยู่จำกัดเพียงปีละ 4 แสนล้านบาทเท่านั้น โดยนอกจากรัฐบาลจะเดินหน้าในการเก็บภาษีจากทรัพย์สินได้แก่ภาษีมรดก ภาษีที่ดิน โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างแล้ว ในระยะต่อไปจะมีการเก็บภาษีสินค้าฟุ่มเฟือย หรือสินค้าที่ไม่ได้ให้ประโยชน์กับผู้บริโภค รวมทั้งการผลักดันนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งเรื่องสำคัญที่สุดคือการผลักดันให้มีคณะกรรมการระดับชาติ

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.