
ไม่ว่าผลการวิเคราะห์ในระดับโลกหรือในระดับประเทศเรื่องทิศทางราคาน้ำมันจะ เป็นเช่นไร ผมยังเชื่อในพื้นฐานแท้จริง คือราคาน้ำมันจะทรงตัวในระดับต่ำแต่ไม่นาน เพราะเดือนพฤศจิกายนยุโรป อเมริกาก็ย่างเข้าหน้าหนาวแล้ว อย่างน้อยจุดต่ำสุดของราคาน้ำมันคงจะลดต่ำกว่าระดับ 80 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรลในระยะสั้น แต่ขาขึ้นจะทะลุระดับ 110 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรลเห็นจะยาก เพราะราคาน้ำมันขึ้นอยู่กับกลไกทางการตลาด เมื่อเศรษฐกิจโลกในปีนี้ลดต่ำลง ต่อให้กลุ่มโอเปกพยายามจะลดกำลังการผลิตลงเพื่อกดดันให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นจะ เป็นไปได้ยาก และผมไม่เชื่อด้วยว่าที่ราคาน้ำมันโลกลดต่ำลงในเวลานี้เป็นผลจากชาติตะวันตก อย่างกลุ่มยุโรปกับสหรัฐอเมริกากำลังกดราคาน้ำมันให้ต่ำลงเพื่อจะเอาชนะใน การคว่ำบาตรรัสเซียด้วย
เศรษฐกิจโลกมาจากยอดรวมของการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ทั่วโลกโดยเฉพาะกลุ่มสหรัฐอเมริกา กลุ่มสหภาพยุโรป ประเทศจีน ประเทศอินเดีย ตัวฉุดของเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นในเวลานี้เกิดขึ้นจากกลุ่มอียู และประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่างสหรัฐฯ กับกลุ่มอียู เมื่อเศรษฐกิจมีปัญหา ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะแก้ไขให้เห็นในระยะสั้นเพียง 2-3 ปี แต่ผมว่าคงไม่ต่ำกว่า 7-8 ปีเป็นแน่
ซึ่งที่ผ่านมาเมื่อ 20 ปีที่แล้วเราก็เห็นว่าเป็นเช่นนั้น ขนาดประเทศไทยประเทศเล็กๆ เรายังใช้เวลาฟื้นตัวถึง 8 ปีเต็มหลังเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจ แล้วสหรัฐอเมริกามีเศรษฐกิจขนาดใหญ่กว่าไทยหลายเท่าตัวนัก ต่อให้พิมพ์แบงก์เองได้อย่างที่ทำอยู่ในทุกวันนี้จะแก้ไขปัญหาให้จบภายใน 3-4 ปีไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ครับ
ด้านยุโรปปัญหายูเครนยังคงอยู่ ทั้งยุโรปและสหรัฐอเมริกา ยังร่วมกัน "บอยคอตต์" เศรษฐกิจรัสเซียอยู่ ขณะที่อากาศหนาวเย็นกำลังคืบคลานครอบคลุมยุโรป และแต่ละประเทศต้องการก๊าซธรรมชาตินำไปทำน้ำอุ่นอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่ก็พึ่งพาการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากรัสเซีย เมื่อ "ใช้ดาบฟัน" แรงๆ ใส่รัสเซีย รัสเซียเองคงจะตอบโต้กลับโดยงดจ่ายก๊าซธรรมชาติให้ ถ้าฝ่ายยุโรปผ่อนปรนมาตรการกีดกันทางการค้า งดการคว่ำบาตรรัสเซียลงไปบ้าง เชื่อว่ารัสเซียคงจ่ายก๊าซธรรมชาติให้ตามปกติ
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ผมเห็นว่า ราคาน้ำมันจะยังคงเคลื่อนไหวในระดับต่ำอาจแตะเส้น 70 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรลเสียด้วยซ้ำ แต่ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับรัสเซีย หากแต่เป็นเรื่องความต้องการบริโภคโดยรวมลดลง เพราะเศรษฐกิจประเทศต่างๆ ไม่ดีทำให้กำลังซื้อลดลง ในขณะที่กลุ่มโอเปกพยายามจะเปิดประชุมเพื่อลดการผลิตน้ำมันลงแต่ยังทำไม่ สำเร็จ และประเทศนอกกลุ่มโอเปกรายใหญ่อย่างรัสเซียยังยืนอยู่ได้แม้ราคาก๊าซ ธรรมชาติจะลดลงก็ตาม ผมเชื่ออย่างนั้น
ก็นับว่าโชคดีสำหรับประเทศที่มีอุตสาหกรรมการผลิตอาวุธ ที่ยังมีการสู้รบ เครื่องจักรในการรบถูกผลิตออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้คนในประเทศไม่ว่าสหรัฐอเมริกา อังกฤษ รัสเซีย จีน ยังมีงานทำอย่างต่อเนื่อง และจะผลิตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตราบเท่าที่กลุ่มรัฐอิสลามยังไม่ยอมแพ้ ซึ่งสนามรบใหญ่อยู่ในซีเรียและอิรัก
สำหรับเศรษฐกิจไทยนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศออกมาแล้วว่า เราหลุดพ้นจากจุดต่ำสุด กำลังย่างก้าวอยู่บนเส้นการฟื้นตัว สำหรับผมแล้วดูเหมือนเส้นนี้จะกว้างมาก ต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 3-4 ปีนับจากนี้เศรษฐกิจไทยจะก้าวข้ามสู่ระดับเฟื่องฟู ซึ่งคงเป็นระยะเดียวกันกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและราคาน้ำมันโลก มองปัญหาในระยะสั้นยังเห็นว่าธนาคารแห่งประเทศไทยยังคงอัตราดอกเบี้ยในระดับ ต่ำต่อไป ซึ่งการกดอัตราดอกเบี้ยต่ำเช่นนี้ย่อมส่งผลดีต่อตลาดทุนภายในประเทศ แม้แต่สหรัฐอเมริกาก็เช่นกันไม่กล้าประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพราะหากประกาศปรับขึ้นเมื่อใด ตลาดหุ้นสหรัฐฯจะทรุดต่ำลงหรือหุ้นตกแน่ๆ เพราะจะมีการเคลื่อนย้ายเงินทุนจากตลาดทุนสู่ตลาดการเงินแทน ส่วนนักวิเคราะห์ไม่ว่าวิเคราะห์ราคาน้ำมัน วิเคราะห์ตลาดเงินตลาดทุน จะว่าอย่างไร...ก็ว่ากันไป เพราะ...ก็เห็นๆ แล้วว่าพลาดกันออกบ่อยไป !
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 2,995 วันที่ 26 - 29 ตุลาคม พ.ศ. 2557