กลุ่มผู้ใช้เหล็กแผ่นรีดร้อนยื่นหนังสือถึงกระทรวงพาณิชย์ ขอยกเลิกมาตรการเซฟการ์ดที่จัดเก็บภาษี 34.01% ของราคาซีไอเอฟ แนบข้อมูลโต้กลับ 2 บิ๊กผู้ผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนรายใหญ่ "สหวิริยา" และ "จีสตีล" ที่อ้างเหตุขาดทุนจากการถูกดัมพ์ตลาด ระบุสาเหตุจริงมาจากหลายส่วนประกอบทั้งปัจจัยภายใน-ภายนอก รวมถึงบริษัทเหล็กเองขาดสภาพคล่อง ด้าน "สหวิริยา"โต้กลับพิจารณาเซฟการ์ดวัดที่ปริมาณนำเข้าที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก

แหล่งข่าวจากวงการอุตสาหกรรมเหล็กเปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2557 กลุ่มผู้ใช้เหล็กแผ่นรีดร้อน โดยเฉพาะผู้ผลิตท่อเหล็ก ที่ใช้เหล็กแผ่นรีดร้อนเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตได้ยื่นหนังสือถึงนางดวงพร รอดพยาธิ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เพื่อขอให้พิจารณายกเลิกประกาศคณะกรรมการพิจารณามาตรการปกป้อง เรื่องมาตรการปกป้องจากการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น หรือเซฟการ์ด สินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนเจืออื่นๆชนิดม้วนและไม่ม้วนที่เพิ่มขึ้น ที่ก่อนหน้านี้เรียกเก็บอากรชั่วคราวภายใต้พิกัดอัตราศุลกากร 26 พิกัด ที่มีความหนา 0.9-50.0 มิลลิเมตร และความกว้าง 100.0-3,048.0 มิลลิเมตร ในอัตราภาษี 34.01% ของราคาซี ไอ เอฟ โดยจัดเก็บกับทุกประเทศที่นำเข้ามายังประเทศไทย ยกเว้นประเทศด้อยพัฒนา นับตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน 2556 ไปจนถึงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2559
จากมาตรการดังกล่าวทำให้อุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น กลุ่มผู้ผลิตท่อเหล็ก เครื่องจักร ชิ้นส่วนรถยนต์ อู่ต่อเรือ ฯลฯ ที่ใช้เหล็กแผ่นรีดร้อนเป็นวัตถุดิบได้รับผลกระทบทันที โดยมีต้นทุนการนำเข้าที่สูงขึ้น เนื่องจากปัจจุบันเหล็กแผ่นรีดร้อนในประเทศได้รับการคุ้มครอง 2 ส่วนหลักจากมาตรการทางภาษี คือมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด(Anti Dumping)หรือเอดีเหล็กแผ่นรีดร้อนกับ 16 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น แอฟริกาใต้ รัสเซีย คาซัคสถาน อินเดีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน เวเนซุเอลา อาร์เจนตินา ยูเครน แอลจีเรีย อินโดนีเซีย สโลวัก โรมาเนีย จีน และมาเลเซีย โดยมีเพดานภาษีเอดีตั้งแต่ 0-128.11% ของราคาซีไอเอฟ ซึ่งแต่ละประเทศจะมีอัตราเปอร์เซ็นไม่เท่ากัน มากน้อยขึ้นอยู่ที่ปริมาณการนำเข้ามาทุ่มตลาดของประเทศนั้นๆ
ล่าสุดเมื่อปีที่ผ่านมาก็มีมาตรการเซฟการ์ดอีก ทำให้ผู้นำเข้าสินค้าเหล็กฯ ต้องเสียอากรปกป้องเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคภายในประเทศไม่สามารถบริโภคสินค้าที่มีคุณภาพและราคาถูก จากช่องทางอื่นในต่างประเทศได้ ทำให้ต้องไปบริโภคสินค้าจากผู้ผลิตภายในประเทศซึ่งมีข้อจำกัดและมีราคาสูง กว่าปกติ เนื่องจากผู้ผลิตภายในประเทศอาศัยประโยชน์จากการประกาศใช้มาตรการปกป้องฯ ในการขึ้นราคาสินค้า ทำให้ราคาสินค้ามีอัตราสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนมีราคาขายอยู่ที่ 23.3 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ราคาเฉลี่ยในตลาดโลกอยู่ที่ 19 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ผู้บริโภคภายในประเทศกลายเป็นผู้แบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูง ขึ้นจากการบังคับใช้มาตรการปกป้องฯ อีกทั้งการขายสินค้าสำเร็จรูป เช่นท่อเหล็กก็ไม่สามารถแข่งขันด้านราคาจากการนำเข้าได้
แหล่งข่าวกล่าวว่าการยื่นหนังสือถึงกรมการค้าต่างประเทศจึงเสนอหลักการและ เหตุผลที่ขอให้พิจารณายกเลิกมาตรการเซฟการ์ดไว้หลายส่วน โดยเฉพาะการพิจารณาข้อมูลที่ระบุว่าผู้ผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนภายในประเทศได้ รับความเสียหายจากการนำเข้าเหล็กแผ่นรีดร้อนโดยตรง ทั้งที่ความจริงแล้วมีปัจจัยแวดล้อมอื่นที่ทำให้ผู้ผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนในประเทศได้รับผลกระทบ
ทั้งนี้จากหนังสือที่ยื่นถึงกรมการค้าต่างประเทศระบุว่า การตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า ตามรายงานผลการดำเนินงานประจำปีตั้งแต่ปี 2552 ถึงปี 2556 ของบริษัท สหวิริยาอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) ผู้ยื่นคำร้องขอให้กรมการค้าต่างประเทศพิจารณากำหนดมาตรการปกป้องฯ บริษัท สหวิริยาฯ ได้เปิดเผยในรายงานประจำปีต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในรายงานผลการ ดำเนินงานประจำปี 2554 ว่าอุตสาหกรรมเหล็กได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สึนามิที่ประเทศญี่ปุ่น สถานการณ์ความไม่สงบของประเทศในตะวันออกกลาง การฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่หยุดชะงัก และยังระบุในรายงานผลการดำเนินงานประจำปี 2555 ว่าปริมาณการขายเหล็กแผ่นรีดร้อนของบริษัท สหวิริยาฯ นั้นเป็นปริมาณการขายสูงสุดเป็นอันดับ 2 รองจากไตรมาสที่ 1/2553 จะเห็นได้ว่าสาเหตุที่บริษัท สหวิริยาฯ ประสบภาวะขาดทุนไม่ได้เกิดจากการนำเข้าสินค้าเหล็กฯ แต่อย่างใด
นอกจากนี้สาเหตุที่บริษัท สหวิริยาฯ มีผลขาดทุนในปี 2555 สืบเนื่องมาจากปัญหาเศรษฐกิจโลก ซึ่งบริษัทเหล็กและเหมืองแร่ทั่วโลกต่างประสบภาวะขาดทุนหนักจากค่าใช้จ่าย ก่อนเริ่มผลิต ผลผลิตต่ำในช่วงเริ่มผลิต ขาดทุนราคาเหล็ก แต่ในปีดังกล่าวบริษัท สหวิริยาฯ ก็ยังสามารถทำยอดขายเหล็กแผ่นรีดร้อนได้เป็นจำนวนมาก และขยายส่วนแบ่งตลาดได้มาก ซึ่งการขาดทุนดังกล่าวไม่น่าเกี่ยวข้องกับการนำเข้าสินค้าเหล็กฯ แต่อย่างใด
สาเหตุอีกประการหนึ่งที่ทำให้บริษัท สหวิริยาฯ ประสบภาวะขาดทุนเป็นจำนวนมาก คือ การเข้าซื้อโรงงานผลิตเหล็กในประเทศอังกฤษทำให้บริษัท สหวิริยาฯ ยังไม่สามารถใช้กำลังการผลิตได้เต็มที่ ประกอบกับภาวะการทรุดตัวของราคาเหล็กด้วย
ตามข้อมูลในหนังสือที่ยื่นถึงกรมการค้าต่างประเทศยังระบุอีกด้วยว่า ภายหลังการประกาศใช้มาตรการปกป้องฯ บริษัท สหวิริยาฯ ยังได้รายงานผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 4/2556 ว่า ธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อนของบริษัท สหวิริยาฯ พลิกกลับมามีกำไร 75 ล้านบาท และผลการดำเนินงานเกี่ยวกับธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อนในปี 2556 กลับมีกำไรถึง 210 ล้านบาท อีกทั้งผลการดำเนินงานเกี่ยวกับธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อนในไตรมาส 1/2557 ก็มีกำไรสูงถึง 347 ล้านบาท และปริมาณการขายเหล็กยังสูงสุดเป็นประวัติการณ์รายไตรมาสอีกด้วย
สำหรับในส่วนของบริษัท จีสตีล จำกัด (มหาชน) และบริษัท จี เจ สตีล จำกัด (มหาชน) ในกลุ่มเดียวกันซึ่งเป็นผู้ยื่นคำร้องขอให้กรมการค้าต่างประเทศพิจารณากำหนด มาตรการปกป้องฯ ร่วมกับบริษัท สหวิริยาฯ ด้วยนั้น เห็นว่า ทั้งบริษัท จีสตีลฯ และบริษัท จี เจ สตีลฯ ต่างได้รับผลกระทบของวิกฤตการณ์ทางการเงิน และความผันผวนของราคาสินค้า ซึ่งไม่สามารถคาดการณ์ได้ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2551 เป็นเหตุให้บริษัทดังกล่าวประสบภาวะขาดทุนต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งมิใช่ผลจากการนำเข้าสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด
จากข้อมูลดังกล่าวเห็นว่าบริษัท สหวิริยาฯ บริษัท จีสตีลฯ และ บริษัท จี เจ สตีลฯ ซึ่งอ้างว่าเป็นอุตสาหกรรมภายในประเทศที่ได้รับความเสียหาย แต่มิใช่ผู้ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงจากการนำเข้าสินค้าเหล็กแผ่นรีด ร้อน แต่เกิดจากปัจจัยอื่นๆ ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น ดังนั้น การกำหนดมาตรการปกป้องฯ จึงไม่อาจกระทำได้
ต่อเรื่องนี้ด้านนายนาวา จันทนสุรคน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายกิจการสาธารณะและความรับผิดชอบทางสังคม บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด(มหาชน) หรือ SSI กล่าวแสดงความเห็นว่า ผู้ที่ทำข้อมูลเสนอไปยังกรมการค้าต่างประเทศเพื่อขอให้พิจารณายกเลิกมาตรการ เซฟการ์ดนั้น ทำข้อมูลไม่ครบ เนื่องจากมาตรการเซฟการ์ดจะวัดจากข้อมูลปริมาณการนำเข้าเหล็กแผ่นฯที่เพิ่ม ขึ้น โดยมีคณะกรรมการพิจารณาปกป้องการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นเป็นผู้พิจารณา ซึ่งในขณะนั้นมีการนำเข้าเหล็กแผ่นรีดร้อนมากขึ้นเกือบ 20 เท่าในช่วงปี2555-2556 เมื่อผู้ผลิตในประเทศได้รับความเสียหายก็ต้องร้องไปยังกระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้ดำเนินมาตรการเซฟการ์ด กับสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนเจืออื่นๆชนิดม้วนและไม่ม้วนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
"ที่ผ่านมาเหล็กแผ่นรีดร้อนเจืออื่นๆเช่น เจืออัลลอย เจือโครเมียม กลับนำเข้ามาใช้งานแบบเดียวกับเหล็กแผ่นรีดร้อนที่ไม่ได้เจืออื่นๆ ทั้งที่จริงแล้วเหล็กแผ่นรีดร้อนที่เจืออื่นๆจะต้องนำไปใช้เพื่อจุดประสงค์ พิเศษ ซึ่งเดิมรัฐบาลยอมยกเว้นภาษีอากรนำเข้าให้ เพราะเป็นเกรดพิเศษที่ยังผลิตในประเทศไม่ได้"
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 2,992 วันที่ 16 - 18 ตุลาคม พ.ศ. 2557