3.6 แสนล้าน..กระตุ้นเศรษฐกิจ? : อโณทัย ชุมไชยโย
เข้าช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี 2557 แม้ว่าสถานการณ์การเมืองจะเริ่มดีขึ้นเป็นลำดับนับตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา หลังการยึดอำนาจโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. แต่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจดูจะไม่ค่อยโสภานัก เป็นผลให้หลายสำนักพยากรณ์เศรษฐกิจต่างปรับลดเป้าหมายเติบโตของผลิตภัณฑ์มวล รวมภายในประเทศปีนี้ลงแทบทั้งสิ้น

ธนาคารโลกปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ลงเหลือ 2.5% จากเดิมเคยให้ไว้ที่ 3% เมื่อเดือน เม.ย. ซึ่งเป็นการปรับลงเรื่อยๆ จากระดับ 4% ที่ประมาณการไว้เมื่อเดือน ธ.ค.ปีก่อน ขณะที่ปีหน้า 2558 ธนาคารโลกคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 4.5% แต่เป็นการโตขึ้นจากฐานปีนี้ที่ค่อนข้างต่ำ
คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. ซึ่งประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไท1ย และสมาคมธนาคารไทย คาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะโตประมาณ 1.5-2% เหตุเพราะภาคการส่งออกจะ "ติดลบ" ทำให้หมดแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตได้
ล่าสุด เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ปรับลดประมาณการอัตราขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปีนี้ ลงเหลือ 1.6% จากเดิม 2.3% หลังภาคการส่งออกยังติดลบ 0.3% ส่วนปีหน้า 2558 คาดว่าเศรษฐกิจจะเติบโตในกรอบ 3.5-4.5%
ทุกภาคส่วนคาดหวังว่า เมื่อมีรัฐบาลเป็นทางการแล้ว จะมีนโยบายในการบริหารราชการแผ่นดินอย่างไร โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะออกมามีหน้าตาอย่างไร
การประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ทำคลอดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วง 3 เดือนนับจากนี้จนถึงสิ้นปี ใช้งบประมาณรวม 364,465.4 ล้านบาท แยกเป็นมาตรการสร้างงาน 324,465.4 ล้านบาท และมาตรการช่วยเหลือชาวนา เรื่องต้นทุนการผลิต 40,000 ล้านบาท
ภายใต้แผนกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 3.6 แสนล้านบาท มี 5 มาตรการ เพื่อให้เกิดการสร้างงานทั่วประเทศ ได้แก่
1.ให้ทุกกระทรวง ทบวง กรม เร่งเซ็นสัญญาจ้างงานโครงการเดิมที่ไม่สามารถดำเนินการทันงบประมาณปี 2557 ซึ่งเป็นงบคงค้าง 142,000 ล้านบาท
2.ให้ทุกกระทรวง ทบวง กรม เร่งเซ็นสัญญาจ้างงานในงบลงทุนของปี 2558 จำนวน 129,000 ล้านบาท โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน ซึ่งคาดหวังว่าจะมีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณร้อยละ 30-40
3.ใช้งบประมาณไทยเข้มแข็ง 15,000 ล้านบาท และงบกลางปี 2555-2557 จำนวน 7,800 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 23,000 ล้านบาท ไปซ่อมโรงเรียน และบ้านพักข้าราชการกระทรวงสาธารณสุข รวมถึงบ้านพักข้าราชการกระทรวงกลาโหม
4.ให้ทุกกระทรวง ทบวง กรม จัดทำรายละเอียดของโครงการ เพื่อมาเบิกจ่ายงบกลางปี 2548-2556 จำนวน 24,000 ล้านบาท ซึ่งจะนำมาเก็บไว้
5.มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรชาวนาที่มีรายได้น้อย โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร เบิกจ่ายเงินช่วยเหลือชาวนาจำนวน 40,000 ล้านบาท สำหรับชาวนาที่มีที่นาไม่เกิน 15 ไร่ ไร่ละ 1,000 บาท แต่หากเกิน 15 ไร่ จะช่วยเหลือเพียง 15 ไร่เท่านั้น โดยมีชาวนาจำนวน 3.4 ล้านครอบครัวที่ได้รับการช่วยเหลือ ซึ่งจะเริ่มเบิกจ่ายได้ตั้งแต่วันที่ 20 ต.ค.นี้
อีกด้านหนึ่ง กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทยและตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้เดินทางไปเสนอข้อมูล (โรดโชว์) แก่นักลงทุนถึงมหานครนิวยอร์ก โดยนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธปท. ได้ให้ความมั่นใจแก่นักลงทุนว่า "ประเทศไทยตอนนี้อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ หลังจากความไม่แน่นอนทางการเมืองลดลง แผนต่างๆ ของรัฐบาลปรากฏให้เห็น จึงไม่มีเวลาใดที่ดีกว่านี้ สำหรับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ จะเข้าไปไขว่คว้าหาผลประโยชน์จากคลื่นแห่งการเติบโตลูกใหม่"
พร้อมกันนี้ ผู้ว่าฯ ประสารยังระบุว่า ธปท.มีบทบาทในการสนับสนุนให้ไทยเติบโตได้ต่อเนื่องในระยะยาว โดยการสร้างเสถียรภาพให้เศรษฐกิจของประเทศ
ขณะที่ นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บอกว่า การโรดโชว์สหรัฐครั้งนี้ หากคิดมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารรวมของผู้เข้าร่วมงาน มีมากกว่า 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ พร้อมทั้งบอกว่านักลงทุนพร้อมที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย แต่ที่ยังรอเวลาอยู่ ก็เพราะว่าต้องการเห็นว่ารัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไร และจะเกิดประสิทธิผลมากน้อยแค่ไหน
ไม่เฉพาะนักลงทุนต่างชาติล่ะครับที่รอ คนไทยทั้งประเทศก็รอเช่นกันว่า รัฐบาลนี้จะพลิกฟื้นเศรษฐกิจได้เร็วและแรงแค่ไหน.