
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลประกาศ ด้วยการจ่ายเงินให้ชาวนา ทำให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น แต่ส่วนตัวเกรงว่าสินค้าเกษตรอื่นๆ จะออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือ ซึ่งจะมีคำถามตามมาว่า ฐานะการคลังของประเทศเป็นอย่างไร เพราะวันนี้ยังไม่มีความคืบหน้าในเรื่องการตรวจสต๊อกข้าว รวมถึงตัวเลขขาดทุนในโครงการรับจำนำ ทำให้เกิดข้อกังขาว่า ภาระหนี้สินของรัฐบาล ซึ่งยังถูกปกปิดอยู่มีจำนวนเท่าใด พร้อมมองว่า ตอนนี้กำลังซื้อของประชาชนมีปัญหา เนื่องจากมีภาระหนี้สิน อันเป็นผลมาจากนโยบายประชานิยมของรัฐบาลในอดีต ดังนั้น การขับเคลื่อนเศรษฐกิจจะต้องเดินหน้าเรื่องการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน
“วันนี้ประเทศไทยจำเป็นต้องปฏิรูปเศรษฐกิจ ป้องกันประชานิยมแบบสุดโต่ง ขจัดปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น โดยวันที่ 14 ต.ค. นี้ ตนจะนำข้อเสนอทั้งหมดให้กับสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.)”นายธีระชัย กล่าว
นายเมธี สุภาพงษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้นในลักษณะ V-shape ตั้งแต่ไตรมาส 2/57 ที่ผ่านมา หลังจากสถานการณ์ทางการเมืองคลี่คลายลง และความเชื่อมั่นของภาคเอกชนปรับดีขึ้น ทำให้ ธปท.คาดว่าแรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายในประเทศจะมีบทบาทกระตุ้นเศรษฐกิจ เพิ่มขึ้น และช่วยลดผลกระทบจากภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาด ซึ่งผลกระทบจากส่วนหลังนี้ทำให้แรงส่งของเศรษฐกิจถูกทอนลงไปบ้างเมื่อเทียบ กับที่ ธปท.ประเมินไว้ในช่วงก่อนหน้า
สำหรับในระยะต่อไป ธปท.มองว่านโยบายภาครัฐที่มีความชัดเจนมากขึ้นจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ กับภาคเอกชน เมื่อรวมกับแนวโน้มการจ้างงานและรายได้ของครัวเรือนในกลุ่มที่ทำงานนอกภาค เกษตร และฐานะทางการเงินของครัวเรือนที่มีแนวโน้มดีขึ้นหลังจากครัวเรือนเริ่มปรับ ตัวและชะลอการก่อหนี้ น่าจะสนับสนุนให้การใช้จ่ายของครัวเรือนฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง แม้ยังต้องใช้เวลาอยู่บ้างก่อนจะกลับสู่ภาวะปกติ เนื่องจากหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูงและราคาสินค้าเกษตรที่ต่ำ ทำให้ครัวเรือนบางส่วนยังระมัดระวังในการซื้อสินค้าคงทน
นายเชาว์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการ บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปี 58 จะเติบโตได้ราว 3.5-4.5% หลังจากที่ปีนี้เศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวได้ล่าช้า โดยมองว่าปีหน้าเศรษฐกิจไทยสามารถจะกลับมาฟื้นตัวได้จากการลงทุนของภาครัฐ ประกอบกับภาคการส่งออกจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ไทย ซึ่งคาดว่าปี 58 การส่งออกจะเติบโตได้ราว 3.5% รวมถึงภาคการท่องเที่ยวที่จะกลับมาฟื้นตัวได้ดีอีกครั้ง
อย่างไรก็ดตาม ในปี2558 ยังต้องจับตาจุดเปลี่ยนในการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ทั้งเรื่องมาตรการ QE และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพราะหลังจากที่เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวได้ค่อนข้างดี อาจจะทำให้เฟดตัดสินใจปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้ในช่วงกลางปีหน้า
ขณะที่เศรษฐกิจในสหภาพยุโรป จีน และญี่ปุ่นนั้นยังอยู่ในช่วงการชะลอตัว ดังนั้นจึงต้องจับตาว่ารัฐบาลของแต่ละประเทศจะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา อย่างไร ทั้งนี้แม้เศรษฐกิจของประเทศดังกล่าวจะยังชะลอตัว แต่ไทยก็อาจจะได้การส่งออกไปยังกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน คือ กัมพูชา, ลาว, พม่า และเวียดนาม (CLMV) เข้ามาช่วยทดแทนได้บ้าง
นายเชาว์ กล่าวถึงเศรษฐกิจไทยในปีนี้ โดยคาดว่าจะเติบโตได้เพียง 1.6% เท่านั้น จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโตได้ 2.3% ซึ่งการบริโภคของประชาชนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ออกมาอาจจะ สามารถชดเชยการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาได้เพียงบางส่วน เท่านั้น ส่วนในช่วงที่เหลือของปีนี้ การเติบโตทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่จะมาจากงบประมาณของภาครัฐ และวงเงินช่วยเหลือภาคเกษตรในเรื่องของต้นทุนการผลิต
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธปท. กล่าวถึงบทบาทของ ธปท. ในการดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและระบบสถาบันการเงินให้มีความเข้มแข็ง ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำคัญการเติบโตที่ยั่งยืน ซึ่งได้ให้ความมั่นใจแก่นักลงทุนในเรื่องความเพียงพอของเงินสำรองทางการ และความพร้อมในการดูแลการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศที่มีระบบอัตราแลก เปลี่ยนลอยตัวเป็นกลไกหลักช่วยปรับตัวอยู่แล้ว
“ประเทศไทยตอนนี้ อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ หลังจากความไม่แน่นอนทางการเมืองลดลง แผนต่างๆของรัฐบาลปรากฏให้เห็น จึงไม่มีเวลาใดที่ดีกว่านี้ สำหรับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ จะเข้าไปไขว่คว้าหาผลประโยชน์จากคลื่นแห่งการเติบโตลูกใหม่” นายประสาร กล่าว