ธนาคารโลกประเมินเศรษฐกิจไทย ปีนี้โต 1.5% ส่วนปีหน้าโตได้ถึง 3.5% รับแรงหนุนการลงทุนของภาคเอกชน แนวโน้มการส่งออกที่ดีขึ้น และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ใช้ทั้งมาตรการกระตุ้นใส่เงินเข้า ระบบโดยตรง และการเร่งโครงการก่อสร้างระบบคมนาคมขนส่ง

ดร.กิรฎา เภาพิจิตร นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารโลกประจำประเทศไทย (เวิลด์แบงก์) มองภาพรวมเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวได้ 1.5% ลดลงจากเดิมที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 3.0% โดยการส่งออกยังหดตัวลงต่อเนื่องจากความอ่อนแอของภาคสินค้าและบริการ โดยคาดว่าการส่งออกปีนี้จะโตได้เพียง 0.7% และการนำเข้าหดตัว 5.1%
ทั้งนี้ ช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าอุปสงค์ในประเทศจะฟื้นตัวได้ช้าๆ จากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนที่ปรับตัวดีขึ้น หลังจากสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศตั้งแต่ พ.ย.56 นอกจากนี้การจ่ายเงินในโครงการจำนำข้าว 9 หมื่นล้านบาท ยังส่งผลบวกต่อการบริโภคในประเทศในเดือนต่อๆมา
อย่างไรก็ดี มองว่าในช่วงครึ่งปีหลังอุปสงค์ภายในประเทศจะเติบโตได้ 1% เนื่องจากการบริโภคของภาคเอกชนและการลงทุนที่เริ่มปรับตัวขึ้นเล็กน้อย ขณะที่คาดว่าการบริโภคภาคครัวเรือนยังขยายตัวอย่างจำกัดที่ 2% ในช่วงครึ่งปีหลัง เป็นผลจากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงกว่า 80% ของ GDP ในช่วงท้ายของครึ่งปีแรก ส่วนการลงทุนภาคเอกชนคาดว่าจะปรับตัวขึ้นอย่างช้าๆ ที่ 1.5% เนื่องจากอัตราการใช้กำลังการผลิตยังคงตัวอยู่ที่ 60.6% ในเดือน มิ.ย.
“การฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ น่าจะได้รับปัจจัยบวกจากการจ่ายเงินค้างชำระโครงการรับจำนำข้าวเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นมูลค่าเกือบ 1% ของ GDP” ดร.กิรฎา กล่าว
ส่วนแนวโน้มในปี 58 นั้น มองว่าภาคการท่องเที่ยวและการลงทุนภาครัฐจะมีโอกาสเติบโตได้ดี โดยการส่งออกภาคบริการ (การท่องเที่ยว) ปีหน้า คาดว่าจะเติบโตได้ 11% ซึ่งแม้จะลดลงจากที่เคยเติบโตได้สูงถึงประมาณ 20% ในช่วง 2-3 ปีก่อนหน้านี้ แต่ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ดีแล้ว เพราะต้องยอมรับว่ายังอาจมีความไม่มั่นใจจากนักท่องเที่ยวบางกลุ่มในการเดิน ทางมาประเทศไทย ส่วนการลงทุนภาครัฐนั้น คาดว่าปีหน้าจะโตได้ 10% ซึ่งถือว่าดีขึ้นจากปีนี้ที่ติดลบ 2% ซึ่งหากรัฐบาลสามารถผลักดันงบรายจ่ายลงทุนได้ในระดับปกติที่ 75-80% แต่หากสามารถทำได้มากกว่า 80% ขึ้นไปก็อาจจะเห็นการลงทุนภาครัฐเติบโตได้สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้
นาย Urich Zachau ผู้อำนวยการธนาคารโลกประจำประเทศไทย คาดว่าในปี 58 เศรษฐกิจของไทยจะขยายตัวได้ 3.5% เป็นผลมาจากอุปสงค์ภายในประเทศฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน เนื่องจากคาดว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะมีเสถียรภาพมากขึ้น
นอกจากนี้การฟื้นตัวของการส่งออกและการลงทุนจะส่งผลด้านบวกต่อการนำเข้า หลังจากที่ประสบภาวะถดถอยในช่วงปีที่ผ่านมา โดยคาดว่าในปี 58 ไทยจะเกินดุลบัญชีเดินสะพัดลดลงเหลือ 12,700 ล้านดอลลาร์ จากที่คาดว่าในปี 57 จะเกินดุลบัญชีเดินสะพัด 16,000 ล้านดอลลาร์ ขณะเดียวกันการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐน่าจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็วหลังมีการจัด ตั้งรัฐบาลเพื่อบริหารประเทศ และการดำเนินโครงการลงทุนระบบคมนาคมขนส่งขนาดใหญ่คาดว่าจะเริ่มในต้นปีหน้า อย่างไรก็ดีหากเศรษฐกิจของสหรัฐและยุโรปฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจะส่งผลให้การ ส่งออกของไทยในปี 58 เติบโตได้สูงกว่าในปีนี้ ส่วนรายได้จากการท่องเที่ยวคาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่องหากสถานการณ์ทางการ เมืองยังมีเสถียรภาพเช่นนี้ต่อไป
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใน 2 เรื่อง คือ กรณีการจ่ายเงินช่วยเหลือให้แก่ชาวนาไร่ละ 1,000 บาท ในวงเงิน 40,000 ล้านบาท และมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนปี 57 ของส่วนราชการที่ยังไม่ได้เบิกจ่ายอีก 1.47 แสนล้านบาท ซึ่งรัฐบาลจะขยายเวลาการทำสัญญาจัดซื้อจัดจ้างจากเดิมที่จะสิ้นสุด 30 ก.ย. ไปเป็น 31 ธ.ค.57 นั้น ใน 2 มาตรการดังกล่าวจะมีส่วนช่วยเศรษฐกิจให้เติบโตได้ แต่อย่างไรก็ดีอาจจะเป็นเพียงการช่วยกระตุ้นในระยะสั้นเท่านั้น แต่ระยะยาวประเทศไทยยังจำเป็นต้องมีการพัฒนาในเรื่องขีดความสามารถทางการ แข่งขัน ตลอดจนคุณภาพการศึกษา และทักษะฝีมือแรงงานควบคู่ไปด้วย
สำหรับนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ และความสามารถในการขับเคลื่อนโครงการต่างๆ จะถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด เนื่องจากจะมีผลต่อการส่งออกของไทย นอกจากนี้ภายหลังจากที่มีรัฐบาลใหม่แล้ว แต่ละกระทรวงต่างได้นำเสนอนโยบายด้านต่างๆ เช่น การปฏิรูปภาษี, นโยบายด้านพลังงาน และโครงการช่วยเหลือเกษตรกรหลายโครงการ ดังนั้นการนำนโยบายไปปรับใช้และดำเนินการ รวมถึงการใช้จ่ายงบประมาณในปี 58 และการดำเนินโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่จะต้องมีการติดตามอย่าง ใกล้ชิด