สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

จับตาโอกาสธุรกิจไทยและประเด็นท้าทายในยุคอินเดียใหม่
09/10/2014
ข่าวเศรษฐกิจ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยออกบทวิเคราะห์"จับตาโอกาสธุรกิจไทยและประเด็นท้าทายในยุคอินเดียใหม่"
ประเด็นสำคัญ
• ยุคอินเดียหลังเลือกตั้งเต็มไปด้วยความคาดหวัง กดดันรัฐบาลชุดใหม่ที่นำโดยนายนเรนทรา โมดีปฏิรูปเศรษฐกิจตามนโยบายหาเสียงที่เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจอินเดีย ลดปัญหาการว่างงาน พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ต่อต้านคอรัปชั่น
• เศรษฐกิจอินเดียในไตรมาสสองที่เติบโตขี้นร้อยละ 5.7 (YoY) สูงที่สุดในรอบสองปีที่ผ่านมา สะท้อนความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นของผู้ประกอบการทั้งในด้านการค้าและการลง ทุน ทั้งนี้ จากนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลอินเดียที่เป็นการแก้ปัญหาระยะยาว อาทิ การสร้างบรรยากาศการลงทุน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ การจัดการการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ปลดล็อคเงื่อนไขทางการค้า และการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจะเป็นการเสริมความแข็งแกร่งทางโครง สร้างที่จะช่วยให้เศรษฐกิจอินเดียเติบโตอย่างมีเสถียรภาพต่อไป
• โอกาสธุรกิจไทยที่ได้อานิสงส์จากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าการลงทุน อยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเกษตร และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและการค้าสินค้าอุปโภคบริโภค นอกจากนี้ การกระชับความสัมพันธ์ของอินเดียกับนานาประเทศ และทิศทางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของอินเดียจะเป็นปัจจัยส่งให้ทิศทางการส่ง ออกไทยไปอินเดียในปี 2558 เติบโตดีต่อเนื่องจาก ปี 2557 ที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า การส่งออกไทยไปอินเดียตลอดปีนี้จะเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 5.5 (กรอบประมาณการขยายตัวร้อยละ 3.5 ถึง 7.5) โดยมีมูลค่าการส่งออกประมาณ 5,360 -5,570 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

อินเดียเป็นหนึ่งในไม่กี่ตลาดส่งออกของไทยที่ยังเติบโตได้ในปี 2557 ในภาวะที่ตลาดหลักสำคัญๆ หลายแห่งนำโดยจีนและญี่ปุ่นหดตัว แม้ว่าอินเดียยังเผชิญความท้าทายในการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจท่ามกลางความคาด หวังของชาวอินเดียและการจับตาของนานาประเทศในการปฏิรูปประเทศของอินเดีย ภายหลังจากวันเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนายนเรนทรา โมดี เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2557 เป็นการเพิ่มภาระกดดันให้กับการทำงานของรัฐบาลชุดใหม่หลังจากที่อินเดีย ประสบปัญหาความซบเซาทางเศรษฐกิจต่อเนื่อง ทั้งนี้ หลังจากการเข้ามาทำงานครบรอบสามเดือนของรัฐบาลใหม่มีการเปลี่ยนแปลงที่มุ่ง เน้นไปทางการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจระยะยาว โดยเฉพาะการปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อลดอุปสรรคด้านการค้าและการลงทุน การปรับปรุงโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานรวมถึงการสร้างถนน เส้นทางรถไฟ และการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งการปรับเปลี่ยนนโยบายครั้งใหญ่นี้คาดว่าจะทำให้บรรยากาศในการลงทุนดี ขึ้น รวมไปถึงการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของอินเดียกับต่างประเทศทั้งด้าน การค้าและการลงทุนจะเป็นตัวช่วยให้เศรษฐกิจอินเดียเติบโตอย่างมีเสถียรภาพใน ระยะถัดไป
    
เศรษฐกิจอินเดียในไตรมาส 2/2557 (หรือไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2557) ขยายตัวได้ถึงร้อยละ 5.7 (YoY) เป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา โดยเติบโตเร่งขึ้นจากไตรมาสที่ 1 ที่ขยายตัวร้อยละ 4.6 (YoY) ซึ่งการเติบโตมีแรงหนุนสำคัญจากการเติบโตของภาคบริการ (สัดส่วนร้อยละ 60 ของระบบเศรษฐกิจ) ที่ขยายตัวร้อยละ 6.8 (YoY) และภาคการผลิต (สัดส่วนร้อยละ 14 ของระบบเศรษฐกิจ) ที่ขยายตัวร้อยละ 3.5 (YoY) ถึงแม้ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอาจจะไม่ใช่ผลโดยตรง จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ แต่สามารถสะท้อนความเชื่อมั่นของภาคเอกชนต่อการเข้ามาบริหารงานของรัฐบาลชุด ใหม่อย่างมีนัยสำคัญ

alt

ทั้งนี้ การเข้ามาบริหารประเทศภายใต้รัฐบาลชุดใหม่มีการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบสำคัญ ผ่านแผนงบประมาณปี 2557/58 ที่มีแผนการใช้จ่ายทั้งสิ้นอยู่ที่ 17.9 ล้านล้านรูปี (หรือราว 10 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 12.8 จากปีงบประมาณก่อนหน้า รวมไปถึงการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของอินเดียอย่างเข้มข้น ซึ่งมีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้

?    การกระตุ้นการบริโภคในประเทศผ่านมาตรการภาษี โดยอินเดียได้เพิ่มวงเงินการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจาก 2 แสนรูปีเป็น 2.5 แสนรูปี ซึ่งจะช่วยเพิ่มความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภคโดยรวม รวมไปถึงความต้องการรถยนต์ส่วนบุคคลที่ได้รับการกระตุ้นจากอัตราภาษีสรรพ สามิตที่ลดลงในช่วงก่อนหน้าสำหรับรถยนต์ทุกประเภท

?    การเพิ่มและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในเขตเมืองและชนบท การจัดสรรงบประมาณพัฒนาถนน ทางด่วน สนามบิน ท่าเรือ รวมไปถึงการปฏิรูปการรถไฟ โดยอินเดียมีการกำหนดการก่อสร้างสนามบินแห่งใหม่ทั้งในเมืองหลักและเมืองรอง การสร้างเส้นทางรถไฟสายใหม่ รวมไปถึงโครงการสร้างถนนไฮเวย์และถนนในชนบททั่วประเทศ นอกจากนี้ การปฏิรูปการรถไฟที่เปลี่ยนรูปแบบการลงทุนเป็นแบบ PPP (Public-Private Partnerships) เปิดรับการลงทุนจากต่างชาติ (FDI) เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและความปลอดภัยของรถไฟระบบเดิม ทั้งนี้ การปรับปรุงระบบโครงสร้างพื้นฐานนอกจากจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมก่อสร้างใน ประเทศแล้วยังเป็นปัจจัยดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมอื่นในระยะข้างหน้าต่อไป

?    การผ่อนคลายกฎระเบียบการลงทุนโดยอนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติสามารถถือหุ้นใน สัดส่วนที่เพิ่มขึ้น และการลดภาษีสรรพสามิตสำหรับสินค้าประเภทคงทนซึ่งจะช่วยลดต้นทุนของผู้ ประกอบการ อินเดียได้อนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติถือหุ้นได้ในหลากหลายธุรกิจ อาทิ การถือหุ้นของต่างชาติในบริษัทประกันภัยและบริษัทผลิตอาวุธที่นักลงทุนต่าง ชาติถือหุ้นเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 26 เป็นร้อยละ 49 ซึ่งจะทำให้อุตสาหกรรมทั้งสองมีโอกาสเติบโตเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังได้ทำการปรับการลดภาษีสรรพสามิตสำหรับสินค้าทุนและสินค้าคงทนจากร้อยละ 12 เหลือร้อยละ 10  โดยการปรับอัตราภาษีสรรพสามิตจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2557 เป็นต้นไป

?    การส่งเสริมอุตสาหกรรมพลังงานทางเลือกผ่านการยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าวัตถุ ดิบการผลิตที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทางเลือก รวมไปถึงการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจในกิจการถ่านหินให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยอินเดียยกเว้นภาษีศุลกากรสำหรับชิ้นส่วนและวัสดุที่ใช้ในการติดตั้งโรง งานพลังงานแสงอาทิตย์ รวมไปถึงชิ้นส่วนที่ใช้ในการผลิตเครื่องปั่นพลังงานลม นอกจากนี้ อินเดียยังพิจารณาเปิดอุตสาหกรรมถ่านหินให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนเพื่อเพิ่มผล ผลิตและผลประกอบการที่ดีขึ้น ซึ่งการพัฒนาพลังงานทางเลือกจะเป็นผลดีในระยะยาวที่จะช่วยลดการนำเข้า พลังงานของอินเดียในอนาคต
?    การกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างเข้มข้น สะท้อนการเร่งปรับตัวหาพันธมิตรทางธุรกิจ ทั้งในด้านการลงทุนและการค้า หลังจากชนะการเลือกตั้ง รัฐบาลอินเดียภายใต้การนำของนาย โมดีดำเนินนโยบายต่างประเทศเชิงรุกด้วยการเชิญผู้นำเอเชียใต้ 6 ประเทศเข้าร่วมพิธีสาบานตนรวมถึงการเจรจาหารือรายประเทศ ซึ่งรวมถึงประเทศปากีสถานที่มีความขัดแย้งกับอินเดียเป็นระยะเวลานาน นอกจากนี้ อินเดียยังได้แสดงความชัดเจนที่จะสานสัมพันธ์กับต่างประเทศ โดยล่าสุด อินเดียได้ลงนามความร่วมมือทางภาคบริการและการลงทุนกับอาเซียน ภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย รวมไปถึงการลงนามข้อตกลงด้านการค้าการลงทุน พลังงาน และความมั่นคงกับ รัสเซีย ญี่ปุ่นและจีน ซึ่งการเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของอินเดียเป็นการเปิดโอกาสทางอ้อม สำหรับการค้าระหว่างไทยและอินเดีย เนื่องจากสินค้านำเข้าส่วนใหญ่ของอินเดียจากไทยอยู่ในหมวดสินค้าทุนและวัตถุ ดิบการผลิตเพื่อการส่งออก โดยจะเป็นตัวช่วยเพิ่มการค้าระหว่างไทย-อินเดียในระยะถัดไป
    
ทั้งนี้ การปรับเปลี่ยนการบริหารงานของรัฐบาลชุดใหม่ที่เน้นการแก้ไขโจทย์เศรษฐกิจ เพื่อการสร้างเสถียรภาพระยะยาว ประกอบกับการเร่งสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศพร้อมทบทวนนโยบายเปิดเสรี ทางการค้า และการเติบโตจากการฟื้นตัวของประเทศคู่ค้าสำคัญ เป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งเสริมให้เศรษฐกิจอินเดียเติบโตในระยะข้างหน้า ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า เศรษฐกิจอินเดียน่าจะขยายตัวดีขึ้นมาอยู่ในระดับร้อยละ 5 - 5.5  ในปีงบประมาณ 2557/58 (จากการขยายตัวร้อยละ 5.0 ในปีงบประมาณ 2556/57) โดยเป็นการขยายตัวที่มีแนวโน้มที่ดีหากเทียบกับประเทศสมาชิกในกลุ่ม BRICS (ได้แก่ บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้) อย่างไรก็ดี ปัญหาเงินเฟ้อของอินเดียที่ยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง กดดันให้อินเดียดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวด ซึ่งจะส่งผลต่อภาระต้นทุนทางธุรกิจ อีกทั้งปัญหาขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและปัญหาการขาดดุลการคลังยังเป็นประเด็น ที่ท้าทายการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ โดยเฉพาะนโยบายอุดหนุนราคาน้ำมัน ปุ๋ยและอาหารที่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ยอดขาดดุลการคลังของอินเดียที่ในปีงบ ประมาณ 2556/57 มีสัดส่วนสูงถึง 86.08 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯหรือราวร้อยละ 4.5 ของจีดีพี

อินเดียอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ และมีพื้นที่เพาะปลูกใหญ่เป็นอันดับสองรองจากสหรัฐฯ อีกทั้งโครงสร้างประชากรที่อยู่ในวัยแรงงานมีสัดส่วนอยู่ที่ราวร้อยละ 65.70  (ช่วงอายุ 15-65 ปี) และค่าจ้างแรงงานมีระดับต่ำในแรงงานที่มีความสามารถภาษาอังกฤษ เป็นส่วนประกอบสำคัญที่ส่งให้อินเดียพัฒนาเป็นประเทศที่เชี่ยวชาญงานสนับ สนุนองค์กร (Back office) รับงานด้าน การจัดจ้างคนภายนอก หรือ Outsourcing ระดับโลกในยุคเทคโนโลยีอย่างเช่นในปัจจุบัน นอกจากนี้ ต้นทุนการผลิตทั้งด้านแรงงานและวัตถุดิบที่สูงขึ้นของจีน ทำให้นักลงทุนทั่วโลกต่างหาแหล่งลงทุนเพื่อรองรับการผลิตแห่งใหม่ ซึ่งอินเดียที่มีความพร้อมในอุตสาหกรรมด้านไอทีที่แข็งแกร่ง รวมถึงการเข้าทำงานของรัฐบาลชุดใหม่ที่เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการผ่อนคลายกฎระเบียบการลงทุนของต่างชาติ ทำให้อินเดียเป็นประเทศทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนเพื่อการผลิตของนัก ลงทุนทั่วโลกรวมถึงนักลงทุนไทย
    
นอกจากอินเดียจะมีศักยภาพในการเป็นแหล่งผลิตและงานสนับสนุนองค์กรของโลกแล้ว หากมองในแง่ตลาดผู้บริโภค อินเดียเป็นตลาดที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของเอเชีย (รองจาก จีน และ ญี่ปุ่น)  มีประชากรราว 1.2 พันล้านคน (ประมาณการปี 2557)  รวมไปถึงศักยภาพในการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดีย ทำให้อินเดียเป็นตลาดสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการลงทุนผลิตเพื่อตอบสนอง ความต้องการในประเทศ รวมไปถึงโอกาสสำหรับธุรกิจส่งออกของไทยในสินค้าอีกหลากหลายรายการ ซึ่งอุตสาหกรรมที่น่าสนใจในการทำตลาดอินเดีย ได้แก่
    
ภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมการเกษตร เป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญกับชาวอินเดีย โดยสองในสามของชาวอินเดียในประเทศยังพึ่งพาการเกษตรเพื่อการเลี้ยงชีพ แต่ถึงแม้ว่าชาวอินเดียจะมีการทำการเกษตรเป็นจำนวนมาก หากแต่ยังเป็นลักษณะการเกษตรแบบพึ่งพาธรรมชาติ ซึ่งหากฝนไม่ตกตามฤดูกาลจะส่งผลกระทบต่อรายได้และการบริโภคโดยเฉพาะใน พื้นที่ชนบทของประเทศ  จึงทำให้ทางภาครัฐบาลอินเดียยังคงให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง โดยจากงบประมาณปี 2557/58 มีการจัดสรรงบประมาณราว 1 หมื่นล้านรูปี (ราว 5.3 พันล้านบาท) เพื่อพัฒนาระบบชลประทาน การให้ความรู้กับเกษตรกร รวมถึงเพิ่มสินเชื่อเพื่อการเกษตรที่ทำให้เกษตรกรเข้าถึงเงินกู้มากขึ้น ตลอดจนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเกี่ยวกับเกษตรทันสมัย ซึ่งการสนับสนุนด้านนโยบายผ่านมาตรการต่างๆ ของภาครัฐ คาดว่าจะยังเป็นปัจจัยที่สนับสนุนให้เกษตรกรมีความต้องการสินค้าและบริการ ที่เกี่ยวกับการเกษตรอย่างต่อเนื่อง อาทิ ปุ๋ย เมล็ดพันธุ์ และสารเคมีที่ใช้ในการเกษตร เครื่องจักรกลการเกษตร รวมไปความต้องการระบบการจัดเก็บและขนส่งพืชผลทางการเกษตรในรูปแบบห้องเย็น จึงอาจเป็นโอกาสทางธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการไทยที่มีศักยภาพ

alt

ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและการค้าสินค้าอุปโภคบริโภค การเพิ่มยอดเงินที่งดเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะช่วยให้ชาวอินเดียมีกำลัง ซื้อเพิ่มขึ้นและอาจนำมาสู่การเพิ่มขึ้นของความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภค โดยรวม ประกอบกับการลดอัตราภาษีสรรพสามิตสินค้าทุนและเครื่องจักรที่ใช้สำหรับบรรจุ สินค้าเป็นการลดต้นทุนสำหรับบริษัทแปรรูปอาหารในอินเดีย และถือเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทยในสินค้าอาหาร ทั้งนี้ พฤติกรรมการบริโภคของคนอินเดียยังคงนิยมบริโภคอาหารปรุงเองสดใหม่ การทำธุรกิจรับสั่งอาหารออนไลน์จึงเป็นอีกทางเลือกสำหรับผู้ประกอบการไทยที่ มีศักยภาพ อย่างไรก็ดี แนวโน้มการรับประทานอาหารนอกบ้านและผลิตภัณฑ์อาหารประเภทพร้อมรับประทานได้ รับความนิยมเพิ่มขึ้นในกลุ่มคนชั้นกลางที่มีรายได้สูงขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ โดยการเข้าทำตลาดของสินค้าอุปโภคและบริโภคของไทยควรเน้นกลุ่มลูกค้าระดับ กลาง-บนหรือสินค้าพรีเมี่ยมโดยตั้งเป้าไปยังตลาดเมืองที่มีการเติบโตทาง เศรษฐกิจสูง ซึ่งนอกจากจะเน้นเมืองหลัก อาทิ เมืองมุมไบ(รัฐมหาราชตะ) เมืองไฮเดอราบาด (รัฐอานธรประเทศ) เมืองเจนไน (รัฐทมิฬนาฑู) เมืองคานธีนคร (รัฐคุชราต) การขยายตลาดไปเมืองรอง อาทิ  เมืองปูเน่ (รัฐมหาราชตะ) เมืองวิสาขาปัตนัม (รัฐอานธรประเทศ) เมืองโคอิมปาตอง (รัฐทมิฬนาฑู) และเมืองอาร์มดาบาด (รัฐคุชราต) เป็นอีกโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทยในการขยายตลาดไปยังอินเดีย
    
นอกจากนี้ การสนับสนุนของภาครัฐในหลายอุตสาหกรรมแม้อาจไม่ได้ส่งผลโดยตรงกับผู้ประกอบ การไทยแต่ก็อาจเป็นผลบวกต่อสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมนั้นๆ อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีการลดภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ซึ่งน่าจะช่วยเพิ่ม ความต้องการรถยนต์ทุกประเภทในอินเดียเนื่องจากราคารถยนต์ที่ลดลง โดยน่าจะส่งอานิสงส์ให้อินเดียมีการนำเข้าสินค้าที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม รถยนต์เพิ่มสูงขึ้น  อาทิ เม็ดพลาสติก สายไฟ เป็นต้น  
    
สำหรับธุรกิจค้าปลีกนั้น แม้ล่าสุดอินเดียจะอนุมัติให้นักลงทุนต่างชาติถือหุ้นได้ร้อยละ 100 ของการลงทุนในลักษณะ Single Brand Retail แต่อินเดียก็ยังมีข้อจำกัดสำหรับการลงทุนในรูปแบบ Multi-Brand Retail อีกทั้งความตั้งใจที่จะปกป้องดูแลผู้ประกอบการค้าปลีกในประเทศ และยังมีรายละเอียดปลีกย่อยในขั้นตอนการจัดตั้งที่เป็นอุปสรรค ดังนั้น การเข้าไปลงทุนในธุรกิจค้าปลีกของต่างชาติรวมถึงไทย คงยังจะไม่ใช่เรื่องง่ายและยังคงต้องติดตามท่าทีด้านนโยบายต่อไป
    
สำหรับด้านการค้าระหว่างไทยและอินเดียในช่วงมกราคม-สิงหาคม 2557 การส่งออกไทยไปอินเดียมีมูลค่า 3,777.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.25 (YoY) โดยในระยะข้างหน้า ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ปัจจัยที่ส่งเสริมการเติบโตของการส่งออกของไทยไปอินเดียในระยะข้างหน้าน่าจะ เป็นผลจากการฟื้นตัวของภาคการบริโภคและลงทุนซึ่งมีการปฏิรูปเศรษฐกิจของภาค รัฐเป็นตัวเร่งและการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของอินเดียที่จะเป็น ปัจจัยส่งให้ทิศทางการส่งออกของอินเดียดีขึ้น ซึ่งจะช่วยให้สินค้าส่งออกของไทยที่เกี่ยวเนื่องกับการบริโภคภายในประเทศ ภาคการผลิตและเพื่อส่งออกของอินเดียมีแนวโน้มมีความต้องการเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มเคมีภัณฑ์ เหล็ก เครื่องจักรและส่วนประกอบ เม็ดพลาสติก ตลอดจนถึงสินค้าอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศและเครื่องรับวิทยุและส่วนประกอบจะยังเติบโตต่อ เนื่อง  
    
อนึ่ง จากปัจจัยข้างต้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ภาพรวมการส่งออกจากไทยไปอินเดียในปี 2557 น่าจะเติบโตที่ร้อยละ 5.5 (กรอบประมาณการขยายตัวร้อยละ 3.5 ถึง 7.5) โดยมีมูลค่าการส่งออกประมาณ 5,360 -5,570 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และผลักดันให้การส่งออกในปี 2558 เติบโตต่อเนื่อง
    
นอกจากนี้ กรอบการตกลงการค้าเสรีไทย-อินเดีย (TIFTA) และอาเซียน-อินเดีย (AIFTA) ยังเป็นตัวหนุนการค้าระหว่างไทยและอินเดีย โดยในไตรมาส 1/2557 ภายใต้กรอบการตกลงการค้าเสรีไทย-อินเดีย (TIFTA) มีสัดส่วนการใช้สิทธิของผู้ส่งออกไทยอยู่ที่ร้อยละ 75.77 ของมูลค่าการส่งออกเฉพาะรายการที่ได้รับสิทธิ และ อาเซียน-อินเดีย (AIFTA) ที่มีสัดส่วนการใช้สิทธิของผู้ส่งออกไทยอยู่ที่ร้อยละ 44.16 ซึ่งหมายความว่ายังพอมีช่องว่างหรือโอกาสทางการค้าของผู้ส่งออกไทยที่จะจูง ใจให้อินเดียนำเข้าสินค้าจากไทยได้มากขึ้นภายใต้กรอบความตกลงการค้าเสรีทั้ง สองดังกล่าว
     
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาความสัมพันธ์ด้านการลงทุนระหว่างไทยและอินเดียยังไม่ได้มีบทบาทโดด เด่นมากนัก โดยการลงทุนของไทยในอินเดียส่วนใหญ่เป็นการลงทุนของบริษัทขนาดใหญ่ที่อยู่ใน อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ชิ้นส่วนยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมก่อสร้างของบริษัทขนาดใหญ่ ในขณะที่การลงทุนของอินเดียในไทยอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตร สิ่งทอ และอุตสาหกรรมเบา อาทิ อัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น ส่วนในด้านการค้า ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2557 อินเดียเป็นตลาดส่งออกอันดับ 10 ของไทย ครองสัดส่วนราวร้อยละ 2.5 ของการส่งออกทั้งหมดของไทย ในขณะที่ไทยเป็นตลาดส่งออกอันดับ 28 ของอินเดีย ครองสัดส่วนราวร้อยละ 1.1 ของการส่งออกทั้งหมดของอินเดีย แต่การดำเนินนโยบายภายใต้การนำของรัฐบาลใหม่ที่เป็นมิตรกับผู้ประกอบการต่าง ชาติก็นับเป็นสัญญาณที่ดีกับผู้ประกอบการไทยที่มีศักยภาพในการเข้าสู่ตลาด ใหม่อย่างอินเดียทั้งในด้านการลงทุนและการค้า อย่างไรก็ตาม การเข้าสู่ตลาดอินเดียนั้นแม้ว่าจะเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทย หากยังมีประเด็นท้าทายในเรื่องของกฎระเบียบในเชิงปฏิบัติที่ซับซ้อนสำหรับ นักลงทุนต่างชาติ ความชัดเจนในด้านการจัดเก็บภาษี รวมไปถึงคู่แข่งทางด้านธุรกิจอย่างจีน ซึ่งผู้ประกอบการไทยต้องติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิดและพิจารณาดำเนิน ธุรกิจด้วยความรอบคอบ

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.