สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

'อิเหนา' ท้าชิง ดีทรอยต์แห่งอาเซียน จากไทย อะไรจะเกิดขึ้น?
01/10/2014
ข่าวเศรษฐกิจ

เมื่อเร็วๆนี้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.)ออกมาประกาศตัวเลขยอดผลิตรถยนต์ 8 เดือน (มกราคม-สิงหาคม2557)ว่ามียอดรวม 1.244,241 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันกับปีก่อนถึง 28.31% ส่งผลให้กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ใน ส.อ.ท. ต้องปรับเป้าหมายการผลิตรถยนต์ปี 2557 ใหม่อีกครั้ง จากเดิมกำหนดไว้ 2.2 ล้านคัน  ลดลงมาเหลือ 2.1 ล้านคัน หรือลดลง 1 แสนคันโดยประมาณ การที่ยอดการผลิตต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนด เป็นผลผูกโยงจากภาวะยอดขายรถยนต์ชะลอตัวต่อเนื่องนับแต่ต้นปีและวงการรถยนต์ ได้ทบทวนเป้าหมายยอดขายรถยนต์ปีนี้ใหม่จาก 1 ล้านคัน  เหลือ 9 แสนคัน

ภาวะชะลอตัวของตลาดรถยนต์ปีนี้เป็นผลข้างเคียงจากนโยบาย รถยนต์คันแรกของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่ดำเนินในช่วงปี 2555-2556   สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่รัฐคืนให้ผู้เข้าร่วมโครงการมีตั้งแต่ 7 หมื่น-1 แสนบาทต่อคัน รวมตัวเลขทั้งโครงการที่รัฐคืนภาษีให้จำนวน 1,238,745 คัน เป็นมูลค่าเงินรวมทั้งสิ้น 91,408 ล้านบาท ที่จะทยอยคืนภาษี ทำให้รถราคาถูก  เกิดความต้องการในตลาด และขยายฐานไปถึงการดึงความต้องการใช้ล่วงหน้ามาใช้ก่อน  ผนวกกับวิกฤติการเมืองระหว่างปลายปี2556 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2557 ได้ทำลายความเชื่อมั่นของผู้บริโภค  รวมทั้งในช่วงครึ่งปีหลังเศรษฐกิจยังชะลอตัว กำลังซื้อยังไม่กลับสู่ภาวะปกติเพราะอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาลใหม่ ปัจจัยเหล่านี้ได้ร่วมกันฉุดตลาดรถยนต์ในปีนี้

**ไทยชวดเบอร์1 ตลาดอาเซียน
สถานการณ์ล่าสุดในอุตสาหกรรมรถยนต์ ของไทยมีผลต่อ สถานะฐานการผลิตยานยนต์ของไทยที่เคยได้รับการยกย่องว่าเป็นดีทรอยต์แห่ง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้  เพราะอินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่สุดในอาเซียน กำลังจะก้าวขึ้นมาชิงตำแหน่งดังกล่าวจากไทย  เนื่องจากมีปัจจัยหลายประการเอื้อ  อาทิ เช่น  ขนาดตลาดในประเทศที่มีมากกว่า 1 ล้านคัน และอุตสาหกรรมทั้งระบบผลิตยานยนต์ทุกประเภทถึง 1. 2  ล้านคัน  ทั้งนี้ความท้าทายจากอินโดนีเซียต่อไทย ในอุตสาหกรรมยานยนต์เคยเกิดขึ้นมาแล้วในปี 2554 ที่ไทยเผชิญวิกฤติน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่ยอดการผลิตรถยนต์ของเพื่อนบ้านรายนี้แซงหน้าไทย

http://www.thanonline.com/images/stories/article2014/2987/402.jpg

อย่างไรก็ดีนักอุตสาหกรรมยานยนต์ให้ความเห็นว่า การก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ในอาเซียนของอินโดนีเซีย นอกจากปัจจัยภายในแล้ว   ยังเป็นผลจากอินโดนีเซียวางยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมยานยนต์คล้ายไทย ตั้งแต่ส่งเสริมการลงทุน ผลักดันโครงการรถยนต์ประหยัดพลังงาน หรือ อีโคคาร์  ซึ่งเริ่มสัมฤทธิผลโดยปี 2556 อินโดนีเซียเริ่มส่งออกรถยนต์ไปต่างประเทศเกือบ 2 แสนคัน ในจำนวนนี้ส่งมาขายในตลาดเมืองไทยด้วย

**แชมป์ผลิตยังโค่นยาก
ประเด็นที่เป็นคำถามตามมาคือ  ไทย จะรักษาตำแหน่ง ดีทรอยต์แห่งเอเชียไว้ได้หรือไม่ ?  ในมุมมองของภาคเอกชนเชื่อว่า แม้ไทยจะพ่ายความเป็นตลาดเบอร์1ในอาเซียนให้กับอินโดนีเซียในปี 2557 แต่สิ่งที่ประเทศในกลุ่มอาเซียนยังไม่สามารถโค่นแชมป์อย่างไทยได้คือ การเป็นผู้ผลิตสูงสุดในอาเซียนและเป็นศูนย์กลางการผลิตเพื่อส่งออกระดับโลก

มุมมองดังกล่าว  สอดคล้องกับข้อมูลจากสมาพันธ์ยานยนต์อาเซียน เปิดเผยว่า ในปี2556 มีปริมาณการผลิตรถยนต์รวมในอาเซียนซึ่งประกอบด้วยฐานผลิตใน ไทย,อินโดนีเซีย,มาเลเซีย,เวียดนาม และฟิลิปปินส์รวมทั้งสิ้น 4,439,474 คัน เพิ่มขึ้น5% เมื่อเทียบกับปี 2555 ที่มียอดผลิต 4,237,980 คัน โดยไทยมีการผลิตสูงเป็นอันดับ 1 มียอดผลิต2,457,057 คัน เพิ่มขึ้น 0.13%  อันดับ 2 อินโดนีเซีย 1,208.211 คัน เพิ่มขึ้น13% อันดับ 3 มาเลเซีย 601,407 คัน เพิ่มขึ้น 6% อันดับ 4 เวียดนาม 93,630 คัน เพิ่มขึ้น27% อันดับ 5 ฟิลิปปินส์ 79,169คัน เพิ่มขึ้น5%

วัลลภ เตียศิริ ผู้เชี่ยวชาญอุตสาหกรรมยายนต์ และอดีตผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า   ฐานการผลิตรถยนต์ในประเทศไทยจะมีขนาดใหญ่กว่าฐานการผลิตรถยนต์ในอินโดนีเซีย โดยปี 2557 คาดการณ์ว่าไทยจะมีการผลิตรถยนต์รวมจำนวน 2.1-2.2 ล้านคัน  แม้สถิติฐานการผลิตจะน้อยลงเมื่อเทียบกับปี 2555 ที่มีกำลังผลิต 2.453 ล้านคัน และปี 2556 มีกำลังผลิต 2.457 ล้านคัน(ดูตาราง)  แต่ไทยก็ยังมีสถิติการผลิตที่มากกว่าอินโดนีเซียถึงเท่าตัว  โดยอินโดนีเซียคาดว่าปีนี้จะมีการผลิตรถยนต์ในประเทศราว 1.2 ล้านคันเศษต่อปี  โดยมีกำลังผลิตใกล้เคียงปีที่ผ่านมา  และที่สำคัญไทยเป็นฐานการส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์และรถยนต์สำเร็จรูป อันดับ1 ของอินโดนีเซีย ดังนั้นถ้าอินโดนีเซียเติบโตในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยก็จะเติบโตไปด้วยพร้อมกัน

ขณะที่องอาจ พงศ์กิจวรสิน ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย  มองว่า  นอกจากนี้ไทยยังมีข้อได้เปรียบจากการเปิดตลาดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(เออี ซี) ที่จะเป็นผลดีต่อประเทศไทย ซึ่งเป็นฐานผลิตรถกระบะส่งไปจำหน่ายยังประเทศเพื่อนบ้าน และประเทศที่นิยมมากคือเมียนมาร์และสปป.ลาว นอกจากนี้ยังส่งรถยนต์นั่งที่มีเทคโนโลยีสูง อย่างรถยนต์ไฮบริด  รถยนต์ที่ใช้อี 85 ได้ ขณะเดียวกัน ก็นำเข้ารถบางรุ่นที่ประกอบในประเทศใกล้เคียงอย่างมาเลเซีย อินโดนีเซีย ซึ่งหลายประเทศพยายามพัฒนาคุณภาพการประกอบให้ทัดเทียมไทยที่มีคุณภาพสินค้าระดับโลก  สามารถส่งออกไปยังญี่ปุ่น ยุโรป อเมริกาเหนือ จนถึงอเมริกาใต้  โดยจะเห็นว่าอินโดนีเซีย พยายามยกระดับมาตรฐานการผลิตรถยนต์มาตรฐานไอเสีย ยูโร 3  ขณะที่ไทยผลิตรถยนต์ระดับยูโร 4 และกำลังก้าวไปสู่ยูโร 5

**ไทยถือไพ่เหนือกว่าคู่แข่ง
หากมองภาพในเชิงลึกต้องถือว่าประเทศไทยมีความพร้อมเป็นฐานการผลิตรถยนต์ในอา เซียนมากที่สุดในเวลานี้ ไล่ตั้งแต่องค์ประกอบแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นนโยบายส่งเสริมการลงทุน ที่มีเป้าหมายผลิตรถยนต์ให้ได้ 3 ล้านคัน ในปี 2560 หลังจากที่โครงการอีโคคาร์เฟส 2 เริ่มได้ครบทุกราย การกำหนดค่ามาตรฐานด้านไอเสียรถยนต์ที่เข้มงวดกว่าประเทศอื่นในอาเซียน ที่ในปี 2559 กระทรวงการคลังประกาศปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์โดยคิดจากมาตรฐานการปล่อยไอ เสียและมาตรฐานความปลอดภัยที่เข้มข้นขึ้น รวมถึงความได้เปรียบในแง่ทักษะการประกอบรถยนต์ของแรงงานไทยที่มีคุณภาพได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับโลก

ขณะที่สิทธิประโยชน์ที่อินโดนีเซียให้แก่นักลงทุนยังระบุเป็นการทั่วไปเช่น ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 30% ภายใน 6 ปี สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่สำคัญ และยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักร วัตถุดิบ และสินค้านำเข้ามาผลิต และเพื่อการพัฒนาและการลงทุน เป็นต้น

เมื่อวัดกำลังกันแล้วอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยถือไพ่เหนือกว่าคู่แข่งในภูมิภาค โดยมีกำลังผลิตยานยนต์สูงเป็นอันดับ 9 ของโลก เป็นตัวการันตีความพร้อม แต่ในสถานการณ์ที่ประเทศเพื่อนบ้านต่าง"ออกแรง"มากขึ้นโดยเฉพาะอินโดนีเซีย และมาเลเซีย เพื่อช่วงชิงพื้นที่ความได้เปรียบในตลาดอาเซียนที่จะเริ่มเปิดฉากปลาย ปี2558นี้   ข้อมูลข้างต้นแม้ชี้ชัดว่าไทยคงรักษาตำแหน่ง ดีทรอยต์แห่งอาเซียนไว้ได้ แต่ความจริงแท้ที่จะเกิดขึ้นแน่นอน คือความท้าทายจะรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องนับจากนี้ไป

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 2,987
วันที่ 28 กันยายน - 1 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.