โครงการ "พบทูตพาณิชย์พิชิตตลาดต่างประเทศ" โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ระดมกูรูด้านการตลาด จัดทูตพาณิชย์ไทยทั้ง 57 แห่งทั่วโลก พบผู้ส่งออก เมื่อเร็วๆ นี้ที่กรุงเทพมหานคร บรรยายเรื่อง "เจาะลึกตลาดฟิลิปปินส์ กรณีศึกษาจากข้อมูลข้อเท็จจริง ประสบการณ์และเหตุผลประกอบ (กลยุทธ์ ช่องทางการตลาดของสินค้าที่เหมาะสม ข้อควรทราบ และข้อควรระวัง)" วิทยากรโดยวิทยากร นางสาวรชกร ศักดิ์ศรี ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์

"ฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจมั่นคงและเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่ เศรษฐกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจมีการขยายตัวถึง 7.2% และในปีนี้ 2557 คาดว่าจะเติบโตประมาณ 6.5% เป็นที่ 2 รองจากประเทศจีน"
นางสาวรชกร ศักดิ์ศรี กล่าวว่า ประเทศฟิลิปปินส์ถือเป็นตลาดขนาดใหญ่ของอาเซียนที่มีประชากรรวมกว่า 100 ล้านคน มากเป็นลำดับที่ 2 รองจากประเทศอินโดนีเซียและเป็นประเทศที่มีแรงงานจำนวนมาก โดยแรงงานจำนวน 10% จะถูกส่งออกไปยังต่างประเทศและจะส่งรายได้กลับไปยังประเทศฟิลิปปินส์ปีละ ประมาณหลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นจุดเด่นของประเทศนี้สิ่งที่ทำให้ฟิลิปปินส์มีความแตกต่างจะ ประเทศอาเซียนอื่นๆ คือ เศรษฐกิจของฟิลิปปินส์นั้นมากกว่า 50% ของ GDP จะมาจากภาคบริการทั้งหมด โดยส่วนแรกคือการส่งออกแรงงาน และส่วนที่ 2 คือการขายบริการ โดยเฉพาะธุรกิจ Call Center ปัจจุบันบริษัทต่างๆ ก็หันมาใช้ฟิลิปปินส์เป็นฐานในการให้บริการ Call Center ทำให้ธุรกิจโดดเด่นมากในฟิลิปปินส์
ฟิลิปปินส์มีลักษณะภูมิประเทศเป็นหมู่เกาะคล้ายกับอินโดนีเซีย มีเกาะรวมกันประมาณกว่า 7,000 เกาะ แบ่งออกเป็น 3 หมู่เกาะ คือทางตอนเหนือ ตอนกลาง และตอนใต้ ซึ่งเมืองหลวงและเศรษฐกิจหลักจะอยู่ในหมู่เกาะทางตอนเหนือ โดย 80% ของสินค้าที่เข้ามาสู่ประเทศจะผ่านมาทางตอนเหนือ ส่วนหมู่เกาะตอนกลางมีชื่อเรียกว่า หมู่เกาะวิสายาส์ (Visayas) มีเมืองสำคัญคือ เมืองเซบู
สำหรับหมู่เกาะตอนใต้จะคล้ายกับทางภาคใต้ของประเทศไทยคือ เป็นแหล่งผลิตอาหารแต่ยังคงมีปัญหาเรื่องความไม่สงบ จึงทำให้การเข้าไปลงทุนธุรกิจยังมีน้อยมากฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่มี เศรษฐกิจมั่นคงและเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่เศรษฐกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจมีการขยายตัวถึง 7.2% และในปีนี้ 2557 คาดว่าจะเติบโตประมาณ 6.5% เป็นที่ 2 รองจากประเทศจีน ประเทศไทยและฟิลิปปินส์นั้นมีความสัมพันธ์เป็นคู่ค้าลำดับที่ 7 ซึ่งฟิลิปปินส์จะนำเข้าสินค้าจากไทยมากกว่าส่งออกการลงทุนจากต่างประเทศ หรือ FDI ที่เข้ามาในฟิลิปปินส์ส่วนใหญ่จะมาจากทางยุโรป แต่บริษัทจากประเทศไทยยังเข้าไปไม่มากนัก ขณะนี้ที่เข้าไปลงทุน เช่น กลุ่มซีพี กลุ่มปตท. กลุ่มเครือปูนซิเมนต์ไทย ธนาคารกรุงเทพ โรงแรมดุสิตธานี เป็นต้น

การทำการค้ากับฟิลิปปินส์ สิ่งที่ต้องคำนึงถึงและระมัดระวังคือ กฎระเบียบที่ไม่แน่นอน มีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างบ่อย แต่สิ่งที่ทางรัฐบาลฟิลิปปินส์พยายามปรับปรุงและเปลี่ยนภาพลักษณ์คือ การปราบปรามคอร์รัปชัน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนานาประเทศที่จะทำการค้าการลงทุนด้วยอีกหนึ่ง สิ่งที่ต้องระวังคือเรื่องของสหภาพแรงงานที่ค่อนข้างแข็งมาก ซึ่งทุกปีมักจะมีการเรียกร้องขอขึ้นค่าแรง ปัจจุบันค่าแรงในฟิลิปปินส์ไม่ได้ถูกกว่าของประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 360 บาท นอกจากนี้ยังมีประเด็นด้านสาธารณูปโภคที่ยังไม่ดีเท่าที่ควร ค่าไฟฟ้าในฟิลิปปินส์สูงกว่าของไทยถึง 2 เท่าวัฒนธรรมและบุคลิกของชาวฟิลิปปินส์จะเป็นคนสนุกสนานร่าเริง รักการร้องเพลง ชอบใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน เพราะฉะนั้นการติดต่อธุรกิจอาจจะไม่เป็นไปตามกำหนดที่วางไว้ อาจจะมีการล่าช้าไปบ้างซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของคนที่นั่น เนื่องจากคนฟิลิปปินส์จะค่อนข้างทำงานสบายๆ เรื่อยๆ ไม่รีบ ข้อดีคือคนฟิลิปปินส์จะเป็นคนอารมณ์ดี มีน้ำใจ และเข้าอกเข้าใจ
ด้านของโอกาสทางการค้าการลงทุนคือคนฟิลิปปินส์นั้นชอบคนไทยและรู้จักคนไทย เป็นอย่างดี ปัจจุบันมีคนฟิลิปปินส์อาศัยอยู่ในประเทศไทยประมาณ 60,000 คน ทั้งเป็นนักธุรกิจบ้าง เป็นครูสอนภาษาบ้าง เป็นต้น นอกจากนี้คนฟิลิปปินส์ยังชอบสินค้าไทย และมองว่าเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ ราคาสมเหตุสมผล ดังนั้นควรติดตรา Made in Thailand ที่ตัวสินค้าเสมอชีวิตความเป็นอยู่ของคนฟิลิปปินส์และพฤติกรรมการใช้ชีวิตจะ คล้ายกับคนไทย ชอบทานข้าวเป็นหลัก ตามร้านอาหารสามารถเติมข้าวได้ไม่อั้น และชอบทานอาหาร 5 มือต่อวัน ฉะนั้นสินค้าประเภทอาหารจะขายดี
เมื่อก้าวเข้าสู่ AEC ในปีหน้า ไทยจะได้เปรียบในเรื่องของภาษีนำเข้า เนื่องจากภาษี 90% จะลดลงเหลือ 0% ยกเว้นสินค้าที่มีความอ่อนไหวของฟิลิปปินส์ 2 ชนิดคือ ข้าวและน้ำตาล ซึ่งจะทำให้สินค้าไทยมีความได้เปรียบในเรื่องของราคาถึงแม้ว่ารายได้ของ ฟิลิปปินส์จะสูงก็ตามแต่ก็มีรายจ่ายที่สูงเช่นกัน ในแต่ละปีรัฐบาลจะต้องหมดเงินงบประมาณไปกับการให้ความช่วยเหลือและเยียวยา ผู้ประสบภัยจากภัยที่เกิดจากธรรมชาติต่างๆ ซึ่งจะมีเกิดขึ้นทุกปี เช่น พายุไต้ฝุ่นประมาณ 20 ลูกต่อปี เป็นต้น ซึ่งสามารถมองให้เป็นโอกาสของไทยด้วยการส่งสินค้าอุปโภคบริโภคเข้าไปทดแทน สินค้าที่มีศักยภาพในตลาดฟิลิปปินส์คือ ชิ้นส่วนยานยนต์ต่างๆ เนื่องจากโรงงานผลิตรถยนต์หลายค่ายได้ปิดตัวลงและย้ายฐานมาที่ประเทศไทยกัน หมด ฉะนั้นสินค้าเหล่านี้จึงจำเป็นต้องนำเข้าเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์เครื่องจักร อาหารเครื่องดื่ม วัสดุก่อสร้างเป็นตัวที่มีโอกาสมากเนื่องจากฟิลิปปินส์ประสบภัยทุกปี จึงต้องมีการก่อสร้างซ่อมแซมตลอดรวมถึงการเติบโตในภาคอสังหาริมทรัพย์อีก ด้วยเครื่องสำอางก็เป็นสินค้าที่มีโอกาสเช่นกัน เพราะคนฟิลิปปินส์นั้นรักสวยรักงาม ดูแลสุขภาพ ดูแลผิวพรรณ ใช้เครื่องสำอางตั้งแต่ยังเด็ก ประกอบกับเครื่องสำอางของไทยราคาไม่แพงแต่มีคุณภาพดี นอกจากนี้ไทยยังขึ้นชื่อเรื่องของการนำสมุนไพรมาใช้ ซึ่งคนฟิลิปปินส์กำลังตื่นตัวในเรื่องของสมุนไพรและออร์แกนิก ข้อสำคัญให้เน้นการแข่งขันด้วยคุณภาพของสินค้ามากกว่าแข่งขันด้วยราคากับ สินค้าที่มาจากประเทศจีน