คลังเผยคสช.อนุมัติดึงเงินจากโครงการไทยเข้มแข็ง 1.5 หมื่นล้าน ช่วยผู้มีรายได้น้อย หวังกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปี ด้านสอท.ยอมรับสภาพ จีดีพีปี’57 โตได้แค่ 1.5% หลังส่งออกเข็นไม่ขึ้นเติบโตได้แค่ 1% เท่านั้น ต้องหวังพึ่งการบริโภคการลงทุนจากต่างประเทศ ลุ้นรัฐเบิกจ่ายงบประมาณได้จริง 30%

นายสมหมาย ภาษี รมว.คลัง เปิดเผยว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้อนุมัติให้กระทรวงการคลังนำเงินกู้จากโครงการไทยเข้มแข็งที่ยังไม่มีการ ใช้อีก 1.5 หมื่นล้านบาท ไปปรับใช้กับโครงการพัฒนาเศรษฐกิจด้านต่างๆ ของรัฐบาล โดยเบื้องต้นจะเป็นโครงการที่ช่วยเหลือคนจนและคนรายได้น้อย เพื่อเป็นการกระจายเงินไปยังเศรษฐกิจฐานรากให้มากขึ้น
“ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลเศรษฐกิจของประเทศทั้ง คสช. รัฐบาล และกระทรวงการคลัง พยายามดูเงินจากแหล่งต่างๆ ที่ยังไม่ได้ใช้มากระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ผ่านโครงการที่ดูแลคนจนคนมีรายได้น้อย ซึ่งจะได้ประโยชน์ทั้งการกระตุ้นเศรษฐกิจและรัฐบาลได้คะแนนนิยมไปด้วย” นาย สมหมาย กล่าว

นายสมหมายกล่าวว่า เงินจากโครงการไทยเข้มแข็งที่เหลืออยู่ 1.5 หมื่นล้านบาท มีการผูกพันให้ใช้ถึงภายสิ้นปีนี้ ซึ่งกระทรวงการคลังต้องเร่งเสนอรัฐบาลให้มีการปรับเงินกู้ดังกล่าวมาใช้ใน โครงการใหม่ให้ได้ภายในสิ้นปีนี้ เพื่อไม่ให้เงินกู้ดังกล่าวหมดอายุโดยไม่เกิดประโยชน์
ด้าน น.ส.จุฬารัตน์ สุธีธร ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กล่าวว่า เงินโครงการไทยเข้มแข็ง 1.5 หมื่นล้านบาท บางส่วนไม่มีภาระผูกพัน บางส่วนมีภาระผูกพันแต่หน่วยงานใช้ไม่หมดก็จะมีการส่งคืนให้กระทรวงการคลัง นำไปใช้ในโครงการอื่น ซึ่ง รมว.คลัง ได้เตรียมโครงการต่างๆ ที่จะมาใช้เงินตั้งแต่ได้รับการทาบทามมาเป็น รมว.คลัง
ทั้งนี้การนำเงินจากโครงการไทยเข้มแข็งมากระตุ้นดูแลเศรษฐกิจ เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่จะหาเงินจากแหล่งต่างๆ ที่มีอยู่แต่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์ นำมาใช้ในโครงการลงทุนได้รวดเร็ว โดยก่อนหน้านี้ คสช. ได้เห็นชอบให้ดำเนินการกู้เงินโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ที่เหลืออยู่อีก 3.2 แสนล้านบาท มาลงทุนโครงการบริหารจัดการน้ำที่เกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งการกู้เงินส่วนนี้สามารถกู้เบิกจ่ายได้ถึงเดือน ก.ย. 2561
ด้านนายวัลลภ วิตนากร รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(สอท.) เปิดเผยว่า เอกชนประเมินว่าภาคการส่งออกปีนี้ของไทยคงโตสูงสุดได้ไม่เกิน 1% ดังนั้นผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือจีดีพีจะเติบโตเพียง 1.5% เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ถ้าจีดีพี จะมีโอกาสเติบโตได้ในระดับ 2% ปีนี้หากรัฐเร่งฟื้นแรงซื้อในประเทศโดยเฉพาะการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณไตร มาสแรกของปี 2558 (ต.ค.-ธ.ค.) ที่วางไว้ 30% หรือคิดเป็นวงเงินประมาณ 7 แสนกว่าล้านบาทได้ตามเป้าหมาย
“ต้องเข้าใจว่าการส่งออกจากนี้ไปคงไม่ถึงเดือนละ 2 หมื่นเหรียญสหรัฐทำให้การส่งออกมองว่าโตสุดคง 1% แต่ยังมองว่าจะต่ำกว่านี้ด้วยซ้ำเพราะส่งออกไตรมาส 4 ปกติทุกปีจะเริ่มเข้าสู่โลว์ซีซั่นเพราะเข้าสู่คริสต์มาสแล้วก็จะรอดูทิศทาง ตลาดดังนั้นจีดีพีที่พึ่งพาการส่งออกถึง 75% ก็คงโตได้แค่ 1.5% ที่เหลือจะต้องพึ่งพาการลงทุนตรงจากต่างประเทศและการบริโภคที่จะรวมถึงการ ท่องเที่ยวและบริการในประเทศเป็นสำคัญ” นายวัลลภกล่าว
ปัจจุบันการบริโภคของคนไทยยังคงไม่ฟื้นตัวเท่าที่ควรจะเป็น ดังนั้น รัฐบาลใหม่ควรจะดำเนินการที่สำคัญ คือ 1.การเร่งการจัดซื้อจัดจ้างแต่ต้องโปร่งใสเพื่อเร่งขับเคลื่อนงบประมาณไตร มาสแรกปี 2558 ที่วางเป้าหมาย 30% ของงบประมาณ 2.57 ล้านล้านบาท เพราะมีเวลาเพียง 3 เดือนคือต.ค.-ธ.ค.นี้ ซึ่งนอกเหนือจะทำให้เกิดการลงทุนตรงแล้วยังทำให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคดีขึ้นด้วย
2.การขยายฐานรายได้ของภาคเกษตรกรซึ่งถือเป็นฐานรากของแรงซื้อที่สำคัญด้วย การผลักดันให้ราคาสินค้าเกษตรอยู่ในระดับที่เหมาะสมซึ่งจำเป็นจะต้องจัด ระเบียบปริมาณการผลิตไม่ให้เกินความต้องการเหมือนกับกรณีที่เกิดขึ้นกับ ยางพารา 3.การบริโภคภายในประเทศขณะนี้สัมพันธ์กับการบริการดังนั้นการกระตุ้นการท่อง เที่ยวจะเป็นการฟื้นกำลังแรงซื้อในทุกภาคเป็นอย่างดีจึงควรดำเนินการด้านนี้ ไปพร้อมๆ กัน
“การเบิกจ่ายงบปี 2557 ก็เหลือแค่เดือนเดียวคงไม่มีผลอะไรมากนักแต่ที่จะมีผลก็คงเป็นงบประมาณไตร มาสแรกของปี 2558 ที่จะออกมาช่วงต.ค.-ธ.ค.นี้ ที่รัฐวางเป้าหมายจะเร่งเบิกจ่าย 30-31% ก็มีเวลาไม่มากต้องเร่งรัดจัดซื้อจัดจ้างให้เร็วแต่ต้องไม่ลืมความ โปร่งใสด้วย” นายวัลลภกล่าว