
กระทรวงพาณิชย์นำคณะผู้ส่งออกไทยลุยเมืองใหม่'อัลมาดี'-ศูนย์กลางธุรกิจ'แอ สตานา'ในคาซัคสถาน หวังกระจายสินค้าเข้ากลุ่ม CIS – รัสเซีย ก่อนนำหน่วยงานภาครัฐ-เอกชนไทยผนึกเจรจาผ่อนปรนนำเข้าอาหาร-ปศุสัตว์เข้าแดนหมีขาว

นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าตามที่คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ(คสช.)ให้ผลักดันการส่ง ออกในตลาดใหม่ ซึ่งล่าสุดกรมฯ พร้อมด้วยภาคเอกชนในกลุ่มสินค้าอุปกรณ์และชิ้นส่วนยานยนต์ อาหาร อัญมณี สิ่งทอ แฟชั่น ของใช้บ้านและขอใช้ในครัวเรือนไปเจรจาการค้าการลงทุนในกลุ่มประเทศประชาคม รัฐเอกราช(ซีไอเอส) ณ เมืองอัลมาดีและแอสตานา ประเทศคาซัคสถานระหว่างวันที่ 8 - 12 กันยายนนี้ ก่อนที่กรมฯ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมปศุสัตว์และภาคเอกชน จะเดินทางเพื่อเจรจากับหน่วยงานเฝ้าระวังสุขอนามัยของรัสเซีย FSVPS (Federal Service for Veterinary and Phytosanitary Surveillance) ขอให้ผ่อนปรนมาตรการ/อนุมัติการนำเข้าสินค้าไทยที่อยู่ระหว่างการรออนุมัติ ตลอดจนการแจ้งปริมาณการผลิตสินค้าอาหาร ปศุสัตว์ของไทยไปยังรัสเซีย เพื่อให้ FSVPS เตรียมการขออนุญาตนำเข้าได้เร็วขึ้น 15-17 กันยายนนี้
พร้อมกันนี้ยังได้เข้าหารือกับหน่วยงานในกระทรวงพาณิชย์ การค้าการลงทุน หน่วยงานเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการค้าการลงทุนของคาซักสถาน การจับคู่ธุรกิจ การสำรวจย่านเศรษฐกิจการค้าที่สำคัญ และห้างสรรพสินค้าที่นำเข้าสินค้าไทย ตามยุทธศาสตร์ส่งเสริมภาพลักษณ์และเร่งรัดผลักดันสินค้าและบริการไทยให้เป็น ที่รู้จักในตลาด ซีไอเอส โดยการสร้างเครือข่าย การขยายความสัมพันธ์ทางการค้าให้มีความแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้นทั้งในระดับรัฐ ต่อรัฐ เอกชนต่อเอกชน เพื่อสร้างโอกาสและลดอุปสรรคทางการค้า ทำให้มูลค่าการค้าระหว่างกันขยายตัวเพิ่มมากขึ้น
“ในปี 58 ซีไอเอสยังเป็นกลุ่มประเทศเป้าหมายที่จะขยายการค้าการลงทุน รวมถึงจัดกิจกรรมต่อเนื่อง โดยเฉพาะคาซัคสถานเป็นประเทศที่มีศักยภาพ เป็นฐานของการเงิน ศูนย์กระจายสินค้า ความพร้อมทางด้านโลจิสติกส์และธุรกรรมทางการเงิน เนื่องจากมีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อนบ้านที่ดี จึงสามารถใช้เป็นประตูในการขยายตลาดสินค้าไทยเข้าสู่ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคนี้ได้”นางนันทวัลย์ กล่าว
นายนพดล ทองมี ผู้อำนวยการสำนักประชาสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร ในฐานะหัวหน้าคณะบุกเบิกตลาดซีไอเอส กล่าวว่า คาซัคสถานเป็นตลาดส่งออกและการแสวงหาวัตถุดิบ(น้ำมันและปิโตรเคมี) มีจีดีพีเป็นอันดับ 1 ในเอเชียกลางและเป็นอันดับ 3 รองจากรัสเซียและยูเครน คาดว่าปี 58 จะเป็น 1 ใน 10 ของผู้ส่งออกน้ำมันโลกและเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ส่งออกแร่ยูเรเยียมมากที่สุดใน โลก มีแหล่งแร่โครเมียม เหล็ก ทองแดง ทองคำ ก๊าซธรรมชาติและยูเรเนียมในอันดับต้นๆ ของโลก โดยไทยนำเข้าสินค้าในกลุ่มซีไอเอสมูลค่า 3,195 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (104,292 ล้านบาท) หรือ ลดลง 15.3%
สำหรับสาขาที่ไทยมีโอกาสและศักยภาพในการลงทุนนั้น จากการขยายตัวทางด้านโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่องคู่ขนานไปกับการขยายตัว ของภาคอุตสาหกรรมผลิตน้ำมัน ซึ่งขยายตัวตามความต้องการของตลาดโลก สาขาที่น่าสนใจจะอยู่ในธุรกิจโรงแรม ที่พักตากอากาศ สิ่งอำนวยความสะดวกและงานบริการในทุกสาขา เช่น สปา ร้านอาหาร เพื่อตอบสนองการเจริญเติบโตของเมืองใหม่อย่างเมืองแอสตานา และเมืองที่เป็นศูนย์กลางทางธุรกิจอย่างเมืองอัลมาดี
ส่วนสินค้าอุปโภคบริโภค จะอยู่ในกลุ่มเครื่องใช้ในครัวเรือน เครื่องใช้ฟ้าภายบ้าน อาหารสำเร็จรูป อาหารทะเลแช่แข็งและกระป๋อง เสื้อผ้าสำเร็จรูป เครื่องกีฬา เป็นต้น โดยการส่งออกในช่วง 7 เดือนแรก(ม.ค.-ส.ค.)ของปีนี้ มีมูลค่า896 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 4.3% โดยสินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ เม็ดพลาสติก ผลไม้กระป๋องและแปรรูป เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่อง ผลิตภัณฑ์ยาง ตู้เย็น ตู้แช่แข็งและส่วนประกอบ เป็นต้น
ซีไอเอสมีสมาชิกประกอบด้วย 9 ประเทศ ได้แก่ รัสเซีย คาซัคสถาน อาร์เมเนีย อาเซอร์ไบจาน เบลารุส คีร์กีชสถาน มอลโดวา ทาจิกิสถาน และอุซเบกิสถาน(ยูเครนได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกในปีนี้แล้ว)