ธ.ก.ส.เผยผลสำรวจชาวนา 7 จว. หลังได้เงินจำนำข้าว ส่วนใหญ่นำไปใช้หนี้มากสุด และใช้จ่ายบริโภค ส่วนการกู้ยืมเงินจาก ธ.ก.ส. พบนำมาลงทุนทำนารอบใหม่ จ่ายค่าแรง ค่าปุ๋ย จ่อเพิ่มความรู้ทางการเงิน หนุนทำอาชีพเสริม......

เมื่อวันที่ 24 ส.ค. นายลักษณ์ วจนานวัช ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส.ได้ศึกษาการบริหารจัดการเงินของชาวนา หลังได้รับเงินจากโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2556/2557 ที่มีการจ่ายไประหว่างวันที่ 26 พ.ค.-18 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยเก็บข้อมูลตัวอย่างในพื้นที่ จ.พิจิตร พิษณุโลก อุบลราชธานี ปทุมธานี ฉะเชิงเทรา นครนายก และสุพรรณบุรี พบว่า ชาวนานำเงินที่ได้รับจากโครงการรับจำนำข้าว นำไปชำระหนี้มากที่สุดร้อยละ 69.1 โดยเป็นหนี้ในระบบร้อยละ 65.2 เช่น หนี้ ธ.ก.ส. กองทุนหมู่บ้านและสหกรณ์ และหนี้นอกระบบร้อยละ 3.9 สะท้อนถึงความมีวินัยและความซื่อสัตย์ของเกษตรกร รองลงมาเป็นการใช้จ่ายในครัวเรือนร้อยละ 21.1
ทั้งนี้ โดยส่วนใหญ่ชาวนานำเงินที่ได้รับไปใช้จ่ายเพื่อการบริโภคมากที่สุดร้อยละ 79.3 ใช้จ่ายเพื่อการศึกษาบุตรร้อยละ 14.6 ผ่อนค่างวดรถ/เครื่องใช้ไฟฟ้าร้อยละ 4.5 ค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าประกันชีวิต ปรับปรุงบ้านร้อยละ 1.0 และซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าใหม่ร้อยละ 0.6 นอกจากนี้ ชาวนายังได้นำเงินไปลงทุนประกอบอาชีพเสริมร้อยละ 7.5 โดยนำเงินไปลงทุนค้าขายมากที่สุดร้อยละ 65.3 ลงทุนปลูกพืชอื่นร้อยละ 25.4 และเลี้ยงสัตว์ร้อยละ 9.3 และสุดท้ายมีการเก็บออมร้อยละ 2.3 โดยเก็บออมใน ธ.ก.ส.มากที่สุดร้อยละ 80.2 รองลงมาคือธนาคารพาณิชย์ร้อยละ 14.7 และเก็บออมไว้กับตัวเองร้อยละ 5.1
จากการสำรวจยังพบว่าชาวนานำเงินที่ได้จากการกู้ยืม ธ.ก.ส. และเงินที่เหลือจากโครงการรับจำนำมาลงทุนทำการผลิตรอบใหม่ โดยจ่ายเป็นค่าจ้างแรงงานมากที่สุดร้อยละ 39.7 รองลงมาคือค่าปุ๋ย/สารเคมีร้อยละ 32.9 ค่าเมล็ดพันธุ์ร้อยละ 15.2 ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อาทิ ค่าเช่าที่นา ค่าน้ำมันรถไถนา ค่าซ่อมบำรุงอุปกรณ์เครื่องจักรกลการเกษตร ร้อยละ 9.1 ค่าใช้จ่ายในการผ่อนงวดเครื่องจักรกลการเกษตร ร้อยละ 2.8 และค่าใช้จ่ายในการซื้อเครื่องจักรกลการเกษตรใหม่ เนื่องจากถูกขโมยและชำรุด ร้อยละ 0.3
ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส. มีความเห็นว่า การจ่ายเงินโครงการรับจำนำข้าวที่ค้างชำระให้แก่ชาวนาและการให้สินเชื่อ รอบใหม่จาก ธ.ก.ส.นั้น จะส่งผลกระตุ้นเศรษฐกิจได้ชัดเจนมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2557 โดยจะขยายตัวได้ดีจริงๆ ในปีหน้า เนื่องจากสินค้าเกษตรสามารถเชื่อมโยงไปสู่ผลผลิตทางอุตสาหกรรม ซึ่งส่งผลต่อการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรและการผลิตสินค้าในภาคอื่นๆ เพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ ควรจัดอบรมให้ความรู้ทางการเงินแก่เกษตรกร เพื่อให้มีทักษะในการบริหารจัดการทางการเงิน และนำไปสู่การปรับพฤติกรรมการใช้จ่ายทั้งด้านการลงทุน และการใช้จ่ายในครัวเรือนอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกัน ควรสนับสนุนเกษตรกรให้ประกอบอาชีพเสริม โดยทำคู่ขนานกับอาชีพหลัก เพื่อให้มีรายได้หลายทาง และลดความเสี่ยงด้านรายได้จากการประกอบอาชีพการเกษตร และควรดึงหัวหน้ากลุ่มลูกค้าเข้ามามีส่วนร่วมในการกระตุ้นและสร้างแรงบันดาล ใจในการพัฒนาอาชีพแก่เกษตรกร.