ผู้บริหาร สภาอุตฯ ชี้หนี้ครัวเรือน ฉุดกำลังซื้อ จี้รัฐบาลสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน พร้อมแก้ไขราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ รวมทั้งปราบคอร์รัปชั่นทุกรูปแบบ ขณะที่อธิบดีกรมโรงงาน สร้างความมั่นใจต่อกลุ่มทุนญี่ปุ่น ยันลงทุนโรงงานปีนี้แตะ 3 แสนล้าน

นายวัลลภ วิตนากร รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) เปิดเผยว่า สิ่งเร่งด่วนที่เอกชนต้องการให้รัฐบาลใหม่พิจารณาคือการกระตุ้นเศรษฐกิจของ ประเทศโดยเฉพาะแรงซื้อของภาคประชาชนในช่วงที่ผ่านมายังไม่ได้ฟื้นตัวเท่าที่ ควรจะเป็นนักเนื่องจากภาระหนี้ครัวเรือนที่สูงเพิ่มขึ้น โดยสิ่งที่ต้องการเสนอให้ดำเนินการ4 ด้านสำคัญคือ 1.การสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชนและนักลงทุน 2.การดูแลสินค้าภาคการเกษตรที่ขณะนี้ภาพรวมตกต่ำตามตลาดโลกโดยไม่เป็นภาระ ต่องบประมาณรัฐจนเกินไป 3.ปรับกระบวนการผลิตให้มีการเพิ่มมูลค่าเพิ่มในภาคอุตสาหกรรมและการเพิ่มผล ผลิตต่อไร่ในภาคเกษตร 4.การปราบปรามคอร์รัปชั่นทุกรูปแบบที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม
“ปีนี้เหลือเวลาไม่มากนักแต่ก็ยังคาดหวังว่าถ้าเร่งทำอะไรบางส่วนได้ก็อาจจะ มีลุ้นให้ GDP หรือการเติบโตเศรษฐกิจปีนี้โตได้ 2% แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องง่ายนักเพราะไทยพึ่งพิงการส่งออกมากซึ่งยอมรับว่าหากจะ ให้การเติบโตระดับนี้เกิดขึ้นได้ส่งออกจะต้องโต 2-2.5% ซึ่งตรงนี้ไม่ง่ายเพราะเศรษฐกิจโลกเวลานี้ยังมีปัญหา”นายวัลลภ กล่าว
ทั้งนี้การดูแลค่าครองชีพประชาชนในระยะนี้จะมีส่วนสำคัญต่อการเพิ่มแรงซื้อ ที่ยังไม่ฟื้นตัวมากนัก หากเป็นไปได้ก็ต้องการเห็นการตรึงค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโตมัติ(Ft) ในรอบใหม่(ก.ย.-ธ.ค. 2557) ซึ่งยังรวมถึงการดูแลภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) เนื่องจากแรง ซื้อที่ลดต่ำทำให้การปรับราคาสินค้าที่ผ่านมาไม่ได้ครอบคลุมต้นทุนที่แท้จริง
ขณะที่ นายพสุ โลหารชุน อธิบดีกรมโรงงานมอุตสาหกรรม (กรอ.) กล่าวว่า นายมาซายะสุ โฮซูมิ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร) คนใหม่ ได้เข้าพบเพื่อแสดงความยินดีในโอกาสที่ นายมาซายะสุ เข้ารับตำแหน่งประธานเจโทรคนใหม่ โดย กรอ.ได้เล่าให้ฟังถึงการทำงานของกรม โดยเฉพาะการปรับขั้นตอนใบอนุญาตกิจการโรงงาน (รง.4) ที่กำหนดไม่เกิน 1 เดือน ขั้นตอนการยื่นเอกสารทั้งหมด ซึ่ง กรอ.ได้ยืนยันว่าระบบการอนุญาตใหม่นี้มีความสะดวกรวดเร็วและมีประสิทธิผลดี
“ประธานเจโทรระบุว่า หลังการหารือครั้งนี้จะนำข้อมูลที่กรอ.นำเสนอไปประสานและสื่อสารกับนักลงทุน ญี่ปุ่นต่อไป เพื่อให้เกิดความเข้าใจ หากนักลงทุนรายใดยังประสบปัญหาติดขัดเรื่องการขอใบอนุญาตรง.4 ก็สามารถประสานมายังเจโทร เพื่อติดต่อกับเจ้าหน้าที่กรอ. หรือติดต่อผ่านกรอ.ด้วยตัวเองเลยก็ได้”นายพสุ กล่าว
“มั่นใจว่าปีนี้ยอดเงินลงทุน รง.4 จะใกล้เคียงกับปี 2556 ประมาณ 3 แสนล้านบาท จากช่วง 7 เดือนที่ผ่านมามีมูลค่าลงทุนแล้ว 2.5 แสนล้านบาท คิดเป็นจำนวนใบอนุญาตรง.4 ทั้งปีประมาณ 4,000 ราย หรือประมาณ 300-500 รายต่อเดือน เนื่องจากนักลงทุนเกิดความมั่นใจประกอบกับเศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัว โดยเฉพาะการมีรัฐบาลชุดใหม่ในเร็วๆ นี้ และสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ปรับตัวดีขึ้น”นายพสุ กล่าว