
นายอุดม วงศ์วิวัฒน์ไชย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยถึงสถิติการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2557 (มกราคม-กรกฎาคม 2557) ว่า จำนวนโครงการที่ยื่นขอรับส่งเสริมตลอดช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มียื่นขอรับส่งเสริมจำนวน 147 โครงการซึ่งสูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบรายเดือน นับตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายน 2557
“การลงทุนในประเทศไทยเริ่มส่งสัญญาณที่ดี ให้เห็นมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคมแล้ว โดยมีจำนวนโครงการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คือ เดือนพฤษภาคมมียื่นขอรับส่งเสริมจำนวน 117 โครงการ เดือนมิถุนายนมียื่นขอรับส่งเสริมจำนวน 130 โครงการ และเดือนกรกฎาคมมียื่นขอรับส่งเสริมจำนวน 147 โครงการ และถึงแม้ว่ามูลค่าเงินลงทุนจะไม่สูงมากนัก แต่จำนวนโครงการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนที่เคยชะลอการยื่นขอรับส่งเสริมไว้ก่อนหน้านี้ กลับมาเชื่อมั่นประเทศไทยอีกครั้ง” เลขาธิการบีโอไอ กล่าว
สำหรับสถิติการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุน ตลอด 7 เดือนที่ผ่านมา พบว่ามีโครงการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนทั้งสิ้น 770 โครงการ เงินลงทุนรวม 371,500 ล้านบาท โดยโครงการปรับลดลงร้อยละ 30.3 จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มี 1,105 โครงการ ส่วนมูลค่าเงินลงทุนปรับลดลงร้อยละ 41.4 จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีมูลค่าอยู่ที่ 633,600 ล้านบาท ซึ่งแม้ว่าจะมีอัตราลดลง แต่ก็เป็นการลดในอัตราที่น้อยลง
โดยกิจการที่ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนใน ช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา กระจายอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ โดยกลุ่มที่ได้รับความสนใจสูงสุดคือ กลุ่มผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่ง จำนวน 160 โครงการ เงินลงทุน 174,100 ล้านบาท รองลงมาเป็นกลุ่มบริการและสาธารณูปโภค 239 โครงการ เงินลงทุน 104,300 ล้านบาท ตามด้วยกลุ่มเคมี กระดาษ และพลาสติก 74 โครงการ เงินลงทุน 33,800 ล้านบาท และกลุ่มกิจการเกษตรกรรม และผลิตผลจากการเกษตร 112 โครงการ เงินลงทุน 24,400 ล้านบาท
นายอุดม กล่าวว่า ในภาพรวมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI : Foreign direct investment) ในช่วง 7 เดือน (มกราคม-กรกฎาคม 2557) ปรากฏว่ามีโครงการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนรวมทั้งสิ้น 477 โครงการ เงินลงทุนรวม 260,888 ล้านบาท โดยโครงการปรับลดลงร้อยละ 32 จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มี 702 โครงการ เช่นเดียวกับเงินลงทุนที่ปรับลดลงร้อยละ 12 จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีเงินลงทุน 297,899 ล้านบาท ซึ่งแม้ว่าจะมีอัตราลดลง แต่ก็เป็นการลดในอัตราที่น้อยลงเหมือนสถิติภาพรวมการลงทุน
ทั้งนี้นักลงทุนจากญี่ปุ่นเป็นกลุ่มที่ เข้ามาลงทุนในประเทศไทยสูงสุด มีจำนวน 220 โครงการ เงินลงทุน 89,910 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยจำนวนโครงการลงทุนจากญี่ปุ่นลดลงร้อยละ 41 มูลค่าเงินลงทุนลดลงร้อยละ 52
อย่างไรก็ตาม การลงทุนจากอเมริกา สหภาพยุโรป และเกาหลีใต้ มีทิศทางของการเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมาของปีนี้ มีโครงการลงทุนจากสหรัฐอเมริกายื่นขอรับส่งเสริมจำนวน 16 โครงการ เงินลงทุน 36,705 ล้านบาท ซึ่งมูลค่าเงินลงทุนปรับเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันถึงกว่า 4 เท่าตัว
ส่วนการลงทุนจากเกาหลีใต้มียื่นขอรับส่ง เสริมทั้งสิ้น 27 โครงการ เงินลงทุนรวม 13,716 ล้านบาท เงินลงทุนปรับเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้าถึงกว่า 9 เท่าตัว และการลงทุนจากสหภาพยุโรปมียื่นขอรับส่งเสริมทั้งสิ้น 70 โครงการ เงินลงทุนรวม 67,000 ล้านบาท มูลค่าเงินลงทุนปรับเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า 3 เท่าตัว