เปิดมุมมองนักการทูตไทย เผยเรื่องราวใหม่ในมาเลเซีย
สหพันธรัฐมาเลเซียมีพรมแดนติดกับไทย แต่เรารู้เรื่องราวของประเทศนี้ไม่มาก เรามาติดตามบทสัมภาษณ์พิเศษ นางสาวเสาวลักษณ์ ชัยชูสอน อัครราชทูตไทย ประจำกรุงกัวลาลัมเปอร์ และ นางสาววิชาดา ภาบรรเจิดกิจ อัครราชทูตที่ปรึกษา ฝ่ายการพาณิชย์ ประจำกรุงกัวลาลัมเปอร์ดู เราจะรู้เรื่องราวอีกมากมายที่ควรรู้ และจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการประกอบธุรกิจของเราครับ
"ในไตรมาสแรกของมาเลเซียเติบโตได้ดีประกอบด้วย 1. อุปสงค์ภายในประเทศ และ 2. การลงทุนของภาคเอกชน ซึ่งมีการเติบโตที่แข็งแกร่งเนื่องจากได้รับการผลักดันจากภาครัฐด้วยนโยบาย ด้านสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่ให้กับนักลงทุน" วิชาดา ภาบรรเจิดกิจ

*ภาพรวมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับมาเลเซียราบรื่นดีหรือไม่ ?
นางสาว เสาวลักษณ์: ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและมาเลเซียที่ผ่านมาเป็นไปในทิศทางที่ดี ไม่มีปัญหาขัดแย้งที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงด้านความสัมพันธ์ ทั้ง 2 ประเทศ มีความร่วมมือทางด้านการค้าตั้งแต่ในระดับประเทศโดยจะมีการประชุมแลกเปลี่ยน ประจำปีในระดับผู้นำ ความร่วมมือทางด้านความมั่นคงทางชายแดน ความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจที่เรียกว่า JDS ความสัมพันธ์ในระดับประชาชน ซึ่งในปีที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียเดินทางเข้าไปเที่ยวในประเทศ ไทยประมาณ 3 ล้านคนโดยเฉพาะการที่อาเซียนกำลังจะก้าวเข้าสู่กรอบของประชาคมเศรษฐกิจอา เซียน หรือ AEC นั้น ไทยกับมาเลเซียก็ได้มีการประชุมหารือกันในทุกด้านเป็นประจำ และในปีหน้ามาเลเซียจะทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมของอาเซียน จำนวนมาก

*สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจของมาเลเซีย ?
นางสาว วิชาดา ในช่วงปีที่ผ่านมาอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของมาเลเซียอยู่ในเกณฑ์ที่ สูงประมาณ 4.7% ซึ่งถือว่าสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ เพราะว่าในไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมา ได้ปัจจัยสนับสนุนสำคัญคือ เรื่องการขยายตัวของการส่งออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในไตรมาสแรกของปีนี้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจพุ่งขึ้นไป ถึง 6.2% สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่ 4.2%
ปัจจัยหลักที่ทำให้เศรษฐกิจในไตรมาสแรกของมาเลเซียเติบโตได้ดีประกอบด้วย 1. อุปสงค์ภายในประเทศ และ 2. การลงทุนของภาคเอกชน ซึ่งมีการเติบโตที่แข็งแกร่ง เนื่องจากได้รับการผลักดันจากภาครัฐด้วยนโยบายด้านสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่ให้กับนักลงทุน ฉะนั้นด้วยภาพรวมทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งทำให้มาเลเซียสามารถดึงดูดนักลงทุน เข้ามาได้จำนวนมาก
สำหรับในปีนี้ทางการมาเลเซียคาดการณ์อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไว้ที่ ประมาณ 5.8% แต่อาจจะต้องเผชิญสถานการณ์เงินเฟ้อที่สูงกว่าปกติ คือ ราว 3.2% ซึ่งปกติจะอยู่ที่ประมาณ 2% โดยมีสาเหตุสำคัญจากผลกระทบด้านนโยบายของปีที่ผ่านที่ต้องการลดการขาดดุลการ คลัง ด้วยการลดในเรื่องของการอุดหนุนต่างๆ อาทิ น้ำตาล ไฟฟ้า น้ำมัน น้ำมันพืช ข้าว เป็นต้น
ปกติราคาน้ำมันตามปั๊มของมาเลเซียจะอยู่ที่ประมาณ 19 บาทต่อลิตร แต่หลังจากการยกเลิกการอุดหนุนราคาเพิ่มขึ้นมาเป็น 20 บาทต่อลิตร นอกจากนี้ยังได้ยกเลิกการอุดหนุนราคาขายปลีกน้ำตาลทรายขาวทำให้ราคาเพิ่ม ขึ้นจากเดิมประมาณ 20 บาท เป็น 30 บาทต่อกิโลกรัม สูงกว่าของประเทศไทยและกำลังเป็นประเด็นสำคัญเนื่องจากส่งผลกระทบต่อยอดขาย และกำไรของโรงงานอุตสาหกรรมน้ำตาลในมาเลเซีย ซึ่งในมาเลเซียจะมีโรงงานอุตสาหกรรมน้ำตาลใหญ่ๆ อยู่ราว 4 แห่ง ที่นำเข้าน้ำตาลทรายดิบจากต่างประเทศเพื่อนำมาผลิตเป็นน้ำตาลทรายขาว เช่น บราซิล ออสเตรเลีย และไทย ตามลำดับ แต่ว่าในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ มาเลเซียนำเข้าน้ำตาลทรายขาวจากประเทศไทยมากกว่าน้ำตาลทรายดิบ เนื่องจากมีราคาถูกกว่า ฉะนั้น ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต ทำให้อัตราเงินเฟ้อทีแนวโน้มสูงขึ้น อย่างไรก็ตามในปีนี้ทางรัฐบาลมาเลเซียตั้งเป้าการขาดดุลการคลังไว้ประมาณ 3.5% ของ GDP
*ความร่วมมือด้านการค้าและอุตสาหกรรมอาหารระหว่างไทยกับมาเลเซียยังปกติดีหรือไม่ ?
นางสาว วิชาดา : ภาพรวมด้านมูลค่าการค้าระหว่างไทยกับมาเลเซียในปี 2556 อยู่ที่ 2.63 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แบ่งเป็นไทยส่งออกประมาณ 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีอัตราการเติบโตด้านการส่งออกที่ 4.75% สำหรับใน 4 เดือนแรกของปี 2557 ไทยส่งออกมายังมาเลเซียแล้วประมาณ 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เติบโตขึ้นประมาณ 2.4% สินค้าส่งออกหลักของไทยมายังมาเลเซียประกอบด้วย น้ำมันสำเร็จรูป รถยนต์/อุปกรณ์ และส่วนประกอบ น้ำยางพารา แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยางแผ่น และเครื่องจักรกล
อุตสาหกรรมอาหารในมาเลเซียเป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสำหรับคนไทย เพราะประเทศไทยเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตรวมมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย ที่ผ่านมามาเลเซียนำเข้าอาหารจากประเทศไทยจำนวนมาก แต่เนื่องด้วยประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม จึงจะเน้นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับมาตรฐานฮาลาลเป็นพิเศษ ซึ่งเครื่องหมายฮาลาลของประเทศไทยที่ออกโดยคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศ ไทยได้รับการยอมรับจากหน่วยงานรับรองมาตรฐานฮาลาลของมาเลเซียเรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผู้ประกอบการไทยควรให้ความใส่ใจเป็นอย่างยิ่งหากต้องการ ส่งสินค้าอาหารเข้ามาขายในมาเลเซียคือ ต้องมีเครื่องหมายรับรองมาตรฐานฮาลาล

อย่างไรก็ตามในฐานะอัครราชทูตที่ปรึกษา ฝ่ายการพาณิชย์ ก็ได้ให้ความสำคัญกับการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเรื่องมาตรฐานฮาลาลของ ประเทศไทยให้กับผู้บริโภคชาวมาเลเซียทราบ เนื่องจากผู้บริโภคชาวมาเลเซียบางกลุ่มอาจจะยังไม่มีความเชื่อมั่นในมาตรฐาน ฮาลาลของประเทศไทย เพราะฉะนั้นเวลาที่ไปซื้อสินค้าก็อาจจะยังมีความกังวลหรือไม่รู้จักตรา เครื่องหมายฮาลาลของไทยว่าเป็นอย่างไร สำหรับในส่วนของภาคเอกชน ผู้นำเข้า และผู้จัดจำหน่ายของมาเลเซียมีความเข้าใจในเรื่องของมาตรฐานฮาลาลของไทยเป็น อย่างดี และยังมีส่วนช่วยเผยแพร่ความเข้าใจให้กับผู้บริโภคเมื่อมีการสอบถาม หากถามว่าประเทศไทยมีปัญหาในการทำตลาดอาหารฮาลาลในมาเลเซียหรือไม่ สามารถสรุปได้เลยว่าไม่มี
นอกจากนี้ยังมีสินค้าของไทยที่สามารถเข้ามาขยายตลาดในมาเลเซียได้อีกมาก หากเดินดูตามซูเปอร์มาร์เก็ตจะพบว่ายังมีสินค้าอีกหลายประเภทที่ไทยยังไม่ ได้ส่งมาขายในมาเลเซีย รวมถึงชาวมาเลเซียก็นิยมสินค้าอาหารจากประเทศไทยประกอบกับราคาที่สมเหตุสมผล ซึ่งถือได้ว่าเป็นจุดแข็งของสินค้าไทย
ดังนั้น ทุกครั้งที่ได้พบกับผู้ประกอบการชาวมาเลเซียที่อยู่ในอุตสาหกรรมอาหารก็จะ พยายามโน้มน้าวให้ประเทศไทยเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมอาหารของมาเลเซียให้มาก ขึ้น แต่เนื่องจากมาเลเซียนั้นไม่มีวัตถุดิบจึงพยายามใช้จุดแข็งด้านเทคโนโลยี ด้านการขยายตลาด และเครือข่ายของประชากรมุสลิมในประเทศตะวันออกกลางมาเป็นจุดขายรัฐบาล มาเลเซียได้สร้างนิคมอุตสาหกรรมที่เรียกว่า Halal Park ขึ้นทั้งหมด 21 แห่งทั่ว
ประเทศ โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนพร้อมกับมีสิทธิประโยชน์ต่างๆ ให้ ซึ่งใน Halal Park นั้นจะมีหน่วยงานที่เรียกว่า Halal Industry Development Corporation หรือ HDC เป็นหน่วยงานที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้นเพื่อทำหน้าที่พัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลของ มาเลเซีย HDC จะช่วยดูแลการพัฒนาตั้งแต่เริ่มต้นไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของวัตถุดิบ กระบวนการผลิต การพัฒนาและวิจัย การคมนาคมขนส่ง และการฝึกอบรม เพราะว่าการผลิตอาหารฮาลาลนั้นจะต้องทำตั้งแต่เริ่มต้น วัตถุดิบต้องฮาลาล การผลิตต้องฮาลาล การบรรจุภัณฑ์ต้องฮาลาล และการขนส่งต้องฮาลาล เช่นกัน
*สินค้าอื่นๆ ที่นอกจากอาหารจำเป็นจะต้องผ่านมาตรฐานฮาลาลหรือไม่ ?
นางสาว วิชาดา : สินค้าอื่นๆ ที่ไม่ใช่อาหารสามารถเข้ามาทำตลาดในมาเลเซียได้เช่นกัน แต่หากไม่ผ่านหรือไม่มีเครื่องหมายมาตรฐานฮาลาลก็จะทำให้ตลาดแคบลง กลุ่มลูกค้าก็จะเป็นชาวจีน ชาวมาเลเซียเชื้อสายอินเดีย เป็นต้น หากสินค้าของผู้ประกอบการมีตราสัญลักษณ์ฮาลาลก็จะสามารถทำตลาดได้ทั่วประเทศ และยังมีโอกาสขยายไปสู่ตลาดมุสลิมอื่นๆ อีกด้วย
อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการสินค้าอื่นๆ ยังไม่ต้องเป็นกังวลมากนัก แต่สินค้าที่จำเป็นจะต้องมีเครื่องหมายฮาลาลคือ ผลิตภัณฑ์อาหาร และเครื่องประทินผิว
*อุตสาหกรรมอัญมณีของมาเลเซียเป็นอย่างไร ?
นางสาว วิชาดา : ชาวมาเลเซียมีบุคลิกที่ค่อนข้างมัธยัสถ์ รายจ่ายส่วนใหญ่จะเป็นในเรื่องของความเป็นอยู่รวมถึงลักษณะของการแต่งกายที่ ค่อนข้างจะอนุรักษนิยมปกปิดมิดชิด เพราะฉะนั้นการใช้เครื่องประดับจะค่อนข้างน้อย หรือไม่ก็เป็นอัญมณีที่ไม่ได้หรูหรามาก ส่วนมากจะเป็นเครื่องประดับเงิน เครื่องประดับทอง หรือพลอยที่มีราคาไม่แพงมาก เครื่องประดับเงิน เครื่องประดับทอง และพลอยจะได้รับความนิยมเท่าๆ กัน ดังนั้นตรงนี้สามารถเข้ามาทำตลาดในมาเลเซียได้ แต่เครื่องประดับเพชรราคาแพงๆ จะลำบากหน่อย เพราะการเข้ามาทำตลาดในมาเลเซียนั้นสิ่งที่ผู้ประกอบการไทยต้องให้ความสำคัญ คือเรื่องของ "ราคา" เนื่องจากผู้บริโภคชาวมาเลเซียมีความอ่อนไหวเรื่องของราคามาก ไม่ว่าจะเป็นสินค้าอะไรก็ตามหากมีการปรับราคาขึ้นก็จะส่งผลต่อการตัดสินใจ ทันที
*กลยุทธ์ของผู้ประกอบการไทยหากต้องการขยายไปยังตลาดมุสลิมอื่นๆ ต้องคิดถึงแง่มุมใดบ้าง ?
นางสาว วิชาดา : ผู้ประกอบการต้องผสานจุดแข็งของแต่ละประเทศไทยเข้าด้วยกัน จุดแข็งของประเทศไทยคือการมีแหล่งวัตถุดิบ จุดแข็งของมาเลเซียคือด้านเทคโนโลยีการผลิตและความสามารถในการทำตลาดที่ผ่าน มาสินค้าอาหารไทยหลายๆ อย่างมาเลเซียจ้างผู้ประกอบการจากประเทศไทยผลิตให้เป็นลักษณะ OEM แล้วนำมาติดฉลากของมาเลเซียเพื่อส่งออกไปยังโลกที่ 3 นี่คือ กลยุทธ์ที่มาเลเซียใช้เป็นประจำ เช่น สินค้าปลากระป๋อง เป็นต้น
นางสาว เสาวลักษณ์ : ต้องบอกว่าสิ่งที่มาเลเซียมีความได้เปรียบประเทศไทย คือ ความหลากหลายทางเชื้อชาติไม่ว่าจะเป็น มาเลเซีย จีน อินเดีย ก็ตาม คนเหล่านี้มีความสามารถในเรื่องของมาร์เก็ตติ้งสูงกว่าคนไทย ผู้ประกอบการไทยผลิตสินค้าเก่งแต่หาตลาดไม่เก่ง
นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้มาเลเซียได้เปรียบไทยอีกข้อหนึ่งคือการใช้ภาษาอังกฤษ ในระบบการศึกษาชาวมาเลเซียส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมทำให้สามารถหาตลาดได้ใน กลุ่มประเทศอาหรับและตะวันออกกลาง ชาวจีนก็สามารถหาตลาดในประเทศจีนได้ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่มาก และชาวอินเดียก็สามารถหาตลาดในประเทศอินเดียได้ซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจ ใหญ่มาก นี่คือจุดแข็งของมาเลเซีย
ข้อสังเกตอย่างหนึ่งคือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจีนและมาเลเซียค่อนข้าง แน่นแฟ้น ซึ่งจีนเองก็เป็นคู่ค้าสำคัญอันดับ 1 ของมาเลเซีย และเมื่อไม่นานมานี้จากการจัดลำดับประเทศที่มีบรรยากาศน่าลงทุนทำธุรกิจ มาเลเซียสามารถขยับขึ้นมาจากลำดับที่ 23 มาเป็นลำดับที่ 19 อีกด้วย
*ทิศทางของมาเลเซียเมื่อเปิด AEC จะเป็นอย่างไร ?
นางสาว เสาวลักษณ์ : นโยบายต่างประเทศของมาเลเซียนั้นให้ความสำคัญกับเรื่องของอาเซียน OIC บทบาทการรักษาสันติภาพ และบทบาทใน UN และด้วยการที่ปีหน้ามาเลเซียจะเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมของอาเซียนจึง ได้มีการพยายามส่งเสริมบทบาทของประเทศในทุกๆ ทางมาเลเซียพยายามวางบทบาทของตัวเองว่าเป็น มุสลิมสายกลาง คือเป็นกลุ่มมุสลิมที่ไม่รุนแรงทำให้ได้รับความไว้วางใจจากนานาประเทศ นอกจากนี้ทางรัฐบาลมาเลเซียยังให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งได้มีการจัดการประกวดโดยให้เงินรางวัลถึง 10 ล้านบาท ในการสนับสนุนผู้ประกอบการ