หลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ที่ผ่านมา หนึ่งในประเด็นที่ตกเป็นเป้าสนใจคือ "ท่าทีทุนนอกต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในไทย เนื่องจากชาติมหาอำนาจ สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป หรืออียู แสดงท่าทีขึงขังต่อการการยึดอำนาจโดย คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) และประกาศลดระดับความสัมพันธ์ในทุกๆด้านกับไทย ประกอบ กับทุนญี่ปุ่นผู้ลงทุนรายใหญ่มีท่าทีลังเลต่อการปักหลักลงทุนต่อ หลังไทยตกอยู่ในวังวนขัดแย้งทางการเมืองต่อเนื่องมากกว่า 9 ปี ต่อสถานการณ์ดังกล่าว "ฐานเศรษฐกิจ" สัมภาษณ์พิเศษ อุดม วงศ์วิวัฒน์ไชย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ถามตรงไปตรงมา ทุนต่างชาติจะอยู่หรือจะโยกฐานการผลิตหนี

-ต่างชาติยังลงทุนไทยต่อเนื่อง
เลขาธิการบีโอไอ ลำดับบรรยากาศการลงทุนในยุค คสช.ว่าเห็นการเปลี่ยนแปลงตามลำดับ เมื่อวัดกันตามรายเดือนจะพบว่าตั้งแต่พฤษภาคมที่ผ่านมามีโครงการลงทุนเพิ่มขึ้นมากกว่าเดือนเมษายน โดยมีการลงทุนเฉลี่ยจาก 110 โครงการ ขึ้นมาเป็น 130 โครงการในเดือนมิถุนายน จะเห็นว่าสถานการณ์เริ่มดีขึ้น มีการมาขอรับการส่งเสริมมากขึ้น เมื่อมองภาพช่วง 6 เดือนแรก มีโครงการที่มาขอรับการส่งเสริม จำนวน 634 โครงการ เงินลงทุนมูลค่า 3.374 แสนล้านบาท สถานการณ์ดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงวิกฤติการเมืองที่มูลค่าคำขอหายไปถึง 40%
นอกจากนี้หลังจากที่บีโอไอสำรวจข้อคิดเห็นของนักลงทุนต่างชาติ 600 รายในไทยก่อนหน้านี้ ยังพบว่ามีผลในทางบวก เนื่องจาก 72% ตอบกลับมาว่ายังมีแผนในการรักษาระดับการลงทุนในไทยต่อเนื่อง และ 24 % บอกว่ายังมีการขยายการลงทุนในไทย จะมีเพียง 2% ที่บอกว่าอาจทบทวนการลงทุนในไทย เพราะยังไม่มั่นใจปัญหาการเมืองภายในประเทศและเศรษฐกิจโลก แต่ไม่มีบริษัทใดที่จะถอนการลงทุนจากประเทศไทย ถือเป็นเสียงตอบจากนักลงทุนต่างชาติที่ออกมาในเชิงบวก
-ทุนญี่ปุ่นเดินหน้าต่อ 85%
เช่นเดียวกับการจัดสัมมนาที่บีโอไอร่วมกับนิตยสาร นิเคอิ บิสสิเนส สื่อด้านธุรกิจที่มีชื่อเสียงของประเทศญี่ปุ่น หัวข้อ"การลงทุนในไทยและประเทศเพื่อนบ้าน" ก่อนหน้านี้ ประมวลภาพความคิดเห็นของนักลงทุนยังให้ความสนใจใช้ประเทศไทยเป็นฐานผลิตหลัก ดูแลการบริหารจัดการ บริหารการตลาด รวมถึงการเป็นศูนย์วิจัยและพัฒนา ส่วนการมองประเทศเพื่อนบ้านจะเป็นเรื่องขยายการลงทุนบางส่วนไปยังประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะในเรื่องของซัพพลายเชนเพราะยังมีข้อได้เปรียบในการใช้แรงงาน แล้วส่งกลับมาผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูปในไทย โดยที่ประเทศไทยยังเป็นฐานผลิตหลักในสินค้าสำเร็จรูป สอดคล้องกับผลสำรวจความเห็นของผู้บริหารญี่ปุ่น โดยนิเคอิที่ระบุว่า กว่า 85%ไม่มีการทบทวนลงทุนในไทย อะไรที่อยู่ในแผนก็ยังเดินหน้าต่อไป
-ปลายส.ค.ล้างท่อที่ค้างหมด
จากท่าทีของทุนต่างชาติสะท้อนให้เห็นว่า ภาคเอกชนไม่ได้สนใจว่าประเทศไทยจะปกครองแบบไหน แต่จะให้ความสำคัญต่อการทำธุรกิจเป็นหลักมากกว่า นับจากที่ คสช.เร่งรัดตั้งคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) พิจารณาอนุมัติโครงการที่ค้างท่ออยู่ ซึ่งล่าสุดก็เดินหน้าไปได้มากแล้ว ในสัดส่วน35% หรือ 2.60 แสนล้านบาท ของมูลค่าที่ค้างอยู่รวมทั้งสิ้น 7.40 แสนล้านบาท จาก 400 โครงการ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2556 ถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม 2557 ที่มีมูลค่าโครงการลงทุนค้างการพิจารณา โดยมีสาเหตุมาจากไม่มีบอร์ดบีโอไอ สัดส่วนที่เหลืออีก 65 % คาดว่าจะพิจารณาอนุมัติได้หมดในปลายเดือนสิงหาคมนี้ ก็จะเป็นตัวเรียกความเชื่อมั่นได้มาก และการลงทุนจะกลับสู่ภาวะปกติ
-FDI รายประเทศขยายตัวหลายเท่า
เลขาฯบีโอไอ ฉายภาพต่อว่า หากกลับไปดูสถิติการลงทุนจากต่างชาติ ในช่วง 6 เดือนแรกปีก่อนเทียบกับช่วงเดียวกันปีนี้ จะพบว่ามูลค่าการลงทุนอันดับ 1 ยังเป็นทุนญี่ปุ่น แม้ญี่ปุ่นจะชะลอการลงทุนไปบ้าง แต่ก็ยังนำประเทศอื่นอยู่เป็นเวลาต่อเนื่องมานานกว่า 10 ปี รองลงมาจะเป็นกลุ่มประเทศยุโรป ที่มีมูลค่าคำขอรับการส่งเสริมพุ่งสูงขึ้นมาก ส่วนสหรัฐอเมริกาเป็นอันดับ 3 มีมูลค่าเงินลงทุนเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า ขณะที่เกาหลีเพิ่มขึ้น10 เท่าตัว จาก 1.30 พันล้านบาทเป็น 1.30 หมื่นล้านบาท และจีนก็มีมูลค่าเงินลงทุนเพิ่มขึ้น 20%
"ตรงนี้เป็นการยืนยันและสะท้อนให้เห็นว่า การลงทุนเอฟดีไอมีสัญญาณบวก ทั้งหมดนี้ทำให้บีโอไอค่อนข้างเชื่อมั่นว่า ภาพลักษณ์การลงทุนน่าจะดีขึ้นตามลำดับ และจะมีผลต่อเนื่องไปถึงครึ่งปีหลังด้วย"
-มั่นใจมูลค่าคำขอปี 57ได้ตามเป้า
ต่อข้อซักถามถึงบรรยากาศการลงทุนในครึ่งปีหลัง มองว่าแม้ภาพรวมดีขึ้นแต่ในแง่การลงทุนก็คงไม่ได้เติบโตแบบก้าวกระโดด แต่จะมีแนวโน้มดีขึ้นเรื่อย ๆ ตามลำดับ และเป้าหมายที่บีโอไอเคยตั้งไว้ว่า ปี 2557 จะมีมูลค่าคำขอรับการส่งเสริมอยู่ที่ 7 แสนล้านบาทนั้น ก็ยังมีความเป็นไปได้สูง โดยจะไม่มีการปรับลดเป้าลง ขณะที่ตัวเลขมูลค่าคำขอรับการส่งเสริมที่ปรากฏ 6 เดือนแรกปีนี้ถือว่าเดินมาได้ครึ่งทางแล้ว ในขณะที่คสช.ก็พยายามกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ เช่น มาตรการคงภาษีมูลค่าเพิ่ม การแก้ปัญหาราคาสินค้า การเร่งใช้จ่ายงบประมาณปี 2557 ที่ค้างอยู่ และวางกรอบงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2558 ให้ได้ตามกรอบเวลาที่กำหนด ซึ่งการขับเคลื่อนเหล่านี้จะทำให้สถานการณ์ครึ่งปีหลังดีขึ้น และน่าจะเป็นผลบวกต่อการลงทุน เพราะมีปัจจัยสนับสนุนซึ่งกันและกันอยู่
โดยสรุปจะเห็นชัดเจนว่า 1. กระบวนการส่งเสริมสามารถเดินหน้าได้ตามปกติ 2.นโยบายของคสช.ยึดมั่นในเศรษฐกิจเสรีและการค้าเสรี จึงไม่กระทบต่อการทำธุรกิจ มีสภาพปกติเหมือนก่อนหน้าที่มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง 3.บีโอไอพยายามให้มีคณะชักจูงการลงทุนในต่างประเทศ ทั้ง 3 ปัจจัยนี้ชี้ให้เห็นว่าการทำงานภายใต้กรอบของฝ่ายความมั่นคง ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนแต่ประการใด
ตรงกันข้ามกระแสความเชื่อมั่นในสายตาต่างชาติ พลิกกลับมาในเวลาที่รวดเร็ว ทำทุนไทย-เทศ หายใจทั่วท้อง จากที่หวั่นวิตกว่าคำขอที่ยื่นขอส่งเสริมจะถูกแช่แข็งนานนับปี แต่เพียง 2 เดือน ที่คสช.ติดเทอร์โบ เรียกความเชื่อมั่น นั่งหัวโต๊ะในฐานะประธานบอร์ดบีโอไอ จัดการเคาะโครงการลงทุนขนาดใหญ่กับมือแบบไม่มีกั๊ก กลับเป็นภาพได้ใจทุนไทย-เทศไปเต็ม ๆ