สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

ฝ่าวิกฤติศักยภาพเศรษฐกิจไทยถดถอย
08/08/2014
ข่าวเศรษฐกิจ

ฝ่าวิกฤติศักยภาพเศรษฐกิจไทยถดถอย : ครองขวัญ รอดหมวน

เป็นประเด็นที่น่าขบคิดอย่างยิ่ง เกี่ยวกับศักยภาพการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย กับการก้าวเข้าสู่การเป็นประเทศที่มีรายได้ต่อหัวในระดับสูง เรื่องนี้ถูกเปิดปมขึ้นโดย “บุญทักษ์ หวังเจริญ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารธนาคารทหารไทย ในฐานะประธานสมาคมธนาคารไทย ซึ่งกลายเป็นคำถามตามมาว่า ประเทศไทยมีศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งจริงหรือไม่

“บุญทักษ์ หวังเจริญ” กับพันธกิจ “TMB Make The Difference”

โดย “บุญทักษ์” ระบุว่า ศักยภาพการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจนมาอยู่ในช่วง 3-3.5% ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจากช่วงก่อนวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งใน ปี 2540 ที่เศรษฐกิจขยายตัวได้ราว 5-7% ดังนั้นหากเศรษฐกิจไทยยังโตเฉลี่ยในระดับนี้ สามารถคาดการณ์ได้ง่ายๆ ว่า เราจะต้องใช้เวลาเกือบ 50 ปี ในการยกระดับรายได้ของประชากรในประเทศ เข้าสู่การเป็นประเทศที่ประชากรมีรายได้ต่อหัวอยู่ในระดับสูง (Hingh Income)

และจากบทวิเคราะห์เกี่ยวกับแนวโน้มและการพัฒนาด้านความเหลื่อมล้ำทาง เศรษฐกิจ ของประเทศสมาชิกในกลุ่มอาเซียน ในปี 2555 ของธนาคารโลก และสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ระบุว่า กลุ่มประเทศอาเซียนกำลังเผชิญกับแนวโน้มสำคัญ 2 ประการ คือ อาเซียนมีความมั่งคั่งที่สูงขึ้นและความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สมาชิกมีแนวโน้มลดลง นั่นคือกลุ่มประเทศรายได้สูงมีรายได้ต่อหัวประชากรสูงกว่ากลุ่มประเทศรายได้ ต่ำถึง 15 เท่า  และความเหลื่อมล้ำภายในประเทศของสมาชิกอาเซียนแต่ละประเทศกลับมีแนวโน้มสูง ขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่มีรายได้สูงจะประสบปัญหามากกว่ากลุ่มประเทศที่มี รายได้ต่ำกว่า ประเด็นนี้ สะท้อนว่ากลุ่มประเทศที่มีรายได้สูงมีการเพิ่มขึ้นของรายได้ในอัตราที่เร่ง ตัวกว่ากลุ่มประเทศสมาชิกอื่นๆ

นอกจากนี้ หากพิจารณาระดับและพัฒนาการของปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของแต่ละ ประเทศ จะพบว่า สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ บรูไน รวมถึงประเทศไทย ยังประสบปัญหาความเหลื่อมล้ำค่อนข้างมากกว่าประเทศอื่นๆ  และในกลุ่มดังกล่าวก็มีเพียง “ฟิลิปปินส์” ที่มีแนวโน้มการพัฒนาที่ดีขึ้น ขณะที่ไทยและมาเลเซียมีพัฒนาการในลักษณะที่ค่อยเป็นค่อยไปเท่านั้น

สำหรับปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ จนส่งผลกระทบและกลายเป็นปัญหาใหญ่ต่อการขยายตัวของภาพรวมเศรษฐกิจไทยนั้นมี มานาน และได้รับความสนใจที่จะแก้ปัญหาจากในหลายๆ รัฐบาลที่ผ่านมา แต่ก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่มีอะไรดีขึ้นมากนัก

และครั้งนี้ก็ถือเป็นอีกโอกาสสำคัญที่จะช่วยลดทอนความรุนแรงของปัญหานี้ ด้วยการเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ ที่ก่อนหน้านี้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ  (คสช.) ได้ไฟเขียวอนุมัติเม็ดเงินลงทุนกว่า 2.4 ล้านล้านบาทไปแล้ว การอัดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบผ่านโครงการลงทุนครั้งใหญ่นี้  จะช่วยเพิ่มการจ้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชนในหลายๆ  กลุ่มอาชีพ หลายๆ กลุ่มอุตสาหกรรม ถือเป็นนิมิตรหมายอันดียิ่ง แต่ก็ยังต้องเฝ้าจับตาดูถึงความสำเร็จ และความเป็นไปได้ของแนวคิดยิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัว ด้วยว่าจะช่วยสะสางปมปัญหาสำคัญของประเทศไทยครั้งนี้ได้มากน้อยเพียงใด

โชคยังดีที่ประเทศไทยยังมีข้อดี ข้อเด่นอยู่นั้น คือพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ยังคงแข็งแกร่ง เสถียรภาพเศรษฐกิจแน่นปึ้ก  อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำมาก ขยายตัวไม่ถึง 2% การวางงานก็อยู่ในระดับต่ำเช่นกัน ขณะที่เงินทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ก็ใช่ว่าจะดีไปทั้งหมด เพราะ “ในข่าวดีย่อมมีข่าวร้ายเสมอ” นั่นเพราะผู้เชี่ยวชาญหลายคนเห็นตรงกันว่าประเทศไทยควรมีการปรับโครงสร้าง ทางเศรษฐกิจของประเทศใหม่ ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกกำลังมีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง เพื่อให้เกิดความแข็งแรงและยั่งยืนมากขึ้น

โดยเฉพาะในปี 2558 ที่เศรษฐกิจโลกกำลังจะมีภาพแห่งการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง หลังจากที่สหรัฐโดยธนาคารกลาง หรือเฟด เตรียมจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี การทยอยลดการใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ทั้งหมดนี้ล้วนมีผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยน ความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้าย และสภาพคล่องในระบบการเงิน

“บุญทักษ์” แจงว่าปี 2558 จะมีหลายปัจจัยที่เข้ามากระทบในระบบการเงิน โดยเฉพาะปัจจัยจากต่างประเทศ โดยเฉพาะการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด และการลดใช้มาตรการคิวอี ส่วนในประเทศมีประเด็นที่ต้องติดตามคือธนาคารพาณิชย์จะเริ่มปรับลดการคุ้ม ครองเงินฝากเหลือ 25 ล้านบาท จากเดิม 50 ล้านบาท ซึ่งปัจจัยทั้งหมดล้วนมีผลต่อระบบการเงิน ดังนั้นเมื่อลำดับเหตุการณ์แล้ว ผู้ประกอบการทั้งหายอาจต้องโฟกัสไปที่การสร้างความสามารถในการแข็งขันทาง ธุรกิจให้เข้มแข็งมากขึ้น

การเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องในมุมของเศรษฐกิจและการเงินโลก ยังเดินหน้าควบคู่ไปกับปัญหาความเหลื่อมล้ำภายในประเทศ ที่มีผลอย่างยิ่งต่อศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ยังมีแนวโน้มชะลอลง นั้น จะส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ ทั้งด้านความสามารถในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ นโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านอุปสงค์ที่ทำได้ยากขึ้น  รวมถึงธุรกิจที่หวังพึ่งพาอุปสงค์ในประเทศจะต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายมาก ขึ้น นี่เป็นอีกบทบาทหนึ่งที่มีความท้าทายสำหรับบุคคลที่จะเข้ามาบริหารประเทศต่อ จากนี้.

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.