สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

ฐานเศรษฐกิจจัดสัมมนา"อนาคตเศรษฐกิจไทยหลังวิกฤติการเมือง"
01/08/2014
ข่าวเศรษฐกิจ

"ฐานเศรษฐกิจ"จัดสัมมนา"อนาคตเศรษฐกิจไทยหลังวิกฤติการเมือง"  เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2557 ที่โรงแรมสวิทโฮเทลเลอคองคอร์ด ถ.รัชดา หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ จัดสัมมนากลางปี "อนาคตเศรษฐกิจไทยหลังวิกฤติการเมือง" โดยได้รับเกียรติจาก นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถา “ เศรษฐกิจไทย ภายใต้การบังคับหางเสือของคสช สู่เป้าหมายโตกว่า 2 % ” 

จากนั้น เป็นการสัมมนา “อนาคตเศรษฐกิจไทยหลังวิกฤติการเมือง”  มีวิทยากร ประกอบด้วย นายบุญทักษ์ หวังเจริญ  ประธานสมาคมธนาคารไทย  นายอิสระ ว่องกุศลกิจ  ประธานสภาหอการค้าไทย  นายสุพันธุ์ มงคลสุธี  ประธานสภาอุตสาหกรรมไทย (ส.อ.ท) และนายสมศักดิ์ โชติรัตนะศิริ  ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง  ดำเนินรายการโดย นายจิตติศักดิ์ นันทพานิช บรรณาธิการบริหาร หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ

ปลัดคลังมองสัญญาณบวกศก.ไทยครึ่งปีหลัง

ปลัด กระทรวงการคลัง ปาฐกถา เรื่อง “การผลักดันเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง สู่เป้าหมายจีดีพี มากกว่า 2 %” ระบุว่าปัจจัยบวกในครึ่งปีหลัง คือ เรื่องของงบประมาณ ซึ่งก่อนหน้านี้ประเมินว่าจะล่าช้ากว่าปกติ 6 เดือน จากสถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมือง แต่เมื่อ คสช.เข้ามาได้มีนโยบายว่าให้ดำเนินการให้เรียบร้อยภายในวันที่ 1 ตุลาคม 2557 ซึ่งเป็นไปตามปกติ ตอนนี้งบประมาณต่างๆ ได้ผ่านความเห็นชอบจาก คสช. เรียบร้อยแล้ว

http://www.thanonline.com/images/stories/article2014/2970/zzzz151.jpg

ทั้งนี้ มาตรการระยะเร่งด่วนของ คสช. ที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ได้มีการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณ ซึ่งได้ดำเนินการมาโดยตลอด สำหรับแนวทางฟื้นฟูเศรษฐกิจ มีมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนประชาชน ได้แก่ โครงการจำนำข้าวที่ได้เบิกจ่ายให้กับชาวนาไปเรียบร้อยแล้ว เม็ดเงินส่วนนี้ก็จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังมีการฟื้นฟูความเชื่อมั่นนักลงทุน รวมถึงการช่วยเหลือเอสเอ็มอี เป็นต้น

ผอ.สำนักงบฯยอมรับเบิกจ่ายปีงบ 2557 ไม่เป็นตามเป้า

ด้านผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กล่าวถึง งบรายจ่ายปี 2558 ตามปฏิทินเดิมเราคิดว่างบประมาณปี 2558 จะล่าช้าไป 6 เดือน แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อ 22 พฤษภาคม ทำให้งบประมาณปี 2558 เข้าสู่ภาวะปกติ เริ่มใช้ได้ 1 ตุลาคม 2557 เป็นต้นไป ทำให้วิกฤติในการจัดทำงบประมาณผ่อนคลายไป  งบประมาณปี  2558 หลังประชุมกำหนดกรอบวงเงินไว้ที่ 2.575 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน5 ของจีดีพี ที่ผ่านมามีตั้งแต่ 16-17% ของจีดีพี มาสูงสุดปี 2555 คิดเป็น 20.9 %ของจีดีพี แต่ปี 2558 ลดลงมาคิดเป็น 19.5%ของจีดีพี ซึ่งเราเตรียมเข้าสู่งบประมาณสมดุลในปี 2560 หลังกำหนดกรอบวงเงินแล้ว

สาเหตุที่ยึดหลักการเช่นนี้ เพราะยึดวินัยการเงินการคลัง หลังจากที่กำหนดกรอบวงเงินแล้ว เน้นงบประมาณลงทุนในส่วนที่มีความพร้อมลงทุนตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นไป เรียกว่าเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ เพราะที่ผ่านมา แม้จะตั้งงบลงทุนสูง แต่การเบิกจ่ายไม่ได้สูงตาม เพราะขาดความพร้อมที่จะดำเนินการ

ก่อน 22 พ.ค.การเบิกจ่ายมีการติดขัดเรื่องกฎระเบียบ และไม่เป็นไปตามแผน หลังจากที่เปลี่ยนการบริหารราชการแผ่นดินมีการนำเสนอการเพิ่มมาตรการ ประสิทธิภาพการใช้จ่ายเพื่อให้ทุกส่วนราชการปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณปี 2557 ในส่วนที่มีปัญหาอุปสรรคและส่วนที่ไม่่สามารถดำเนินการได้หรือหมดความจำเป็น เพื่อไปดำเนินการในส่วนที่มีความจำเป็นสูงกว่า เช่น อะไรติดขัดให้พักไว้ก่อน ไปทำในส่วนที่จำเป็นในการแก้ไขสถานการณ์ในการแก้ไขสถานการณ์การปฏิบัติของทุกส่วนราชการ

ทั้งนี้ นายสมศักดิ์ กล่าวยอมรับว่า การเบิกจ่ายงบประมาณปี 2557 ไม่เป็นไปตามเป้า แต่เป็นเรื่องที่สืบเนื่องมาจากการดำเนินการเกิดการล่าช้าไป 6 เดือน ก็มีการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณปี 2557 ให้ใกล้เคียงกับเป้าหมาย มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณ ปี 2557 ซึ่งที่กำหนดไว้ว่างบลงทุนต้องเบิกจ่ายได้ 80% นั้น เราได้ปรับแผนให้ไปสมทบในไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณปี 2558 ได้ หรือไตรมาส 4 ปีปฏิทิน 2557 ทำให้จีดีพีปี 2557 ใกล้เคียงกับที่สภาพัฒน์ฯ กำหนดไว้

"เป้าหมายของเรา คือการเบิกจ่ายทั้งปีไม่ต่ำกว่า 92% เดิมคาดการณ์ไว้ที่ 90% ที่เหลือ ก็มีการปรับแผนไปใช้เม็ดเงินในไตรมาส 4 ของปี 2557 ก็จะขับเคลื่อนจีดีพีไม่ต่ำกว่าที่กำหนดไว้ "นายสมศักดิ์ กล่าว

ประธานส.อ.ท.มองจีดีพีครึ่งหลังโต 4-5%

ด้าน นายสุพันธุ์  มงคลสุธี  ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ภาพรวม ณ วันนี้ การเมืองนิ่ง ต้องยอมรับว่าความสงบสุขกลับเข้ามา คนเริ่มสบายใจ เริ่มมีการจับจ่ายใช้สอย งบประมาณโครงสร้างพื้นฐานกำลังจะมา งบประมาณของรัฐกำลังขับเคลื่อนออกมา พวกนี้เป็นภาพที่ทำให้เกิดความเชื่อมั่น

http://www.thanonline.com/images/stories/article2014/2970/Than31-3.jpg

อย่างไรก็ตาม สินค้าเกษตรราคายังไม่ดีนัก และมีปัจจัยลบเรื่องความเชื่อมั่น เรื่องสงครามต่างประเทศ รัสเซีย-อเมริกา ลิเบียมีรบ ปาเลสไตน์กับอิสราเอล ส่วนนี้กระทบการส่งออกพอสมควร

"ครึ่งปีหลังมองเหมือนภาคส่วนอื่นที่ เศรษฐกิจโตขึ้น คาดว่า 4-5% คงได้เห็น เพราะมีการจับจ่ายใช้สอยกลับมา แต่เดือนนี้อาจเบาลงบ้าง ดังนั้น งบประมาณภาครัฐเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญ ข้าราชการส่วนหนึ่งยังกังวลเรื่องการเบิกจ่าย ข้ราชการเป็นอุปสรรคของเศรษฐกิจในบางเรื่อง แก็ต้องยอมรับว่า เวลาโดนฟ้อง ข้าราชการโดนก่อน ทำให้ต้องมีความระมัดระวังสูง ดังนั้น ถ้ามีการผลักดันเบิกจ่ายงบประมาณ ก็จะทำให้ทุกอย่าง Flow"

"ในภาพรวม ณ วันนี้ ครึ่งปีหลังดีมากกว่าครึ่งปีแรกอยู่แล้ว หลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง มีรัฐประหาร ช่วงแรกมีแรงกดดันมาก แต่หลังจากนั้นเริ่มเงียบไปเมื่อมีโรดแมปของ คสช. ออกมา แต่ก็ยังมีประเด็นที่ต่างชาติมองปัญหาในจุดนี้อยู่บ้าง ซึ่งภาคเอกชน ภาครัฐ และ คสช. ก็พยายามที่จะสร้างความเข้าใจ รวมถึงแก้ปํยหาด้านต่างๆ อาทิ ปัญหาเรื่องแรงงาน ดังนั้น จะเห็นได้ว่าปัญหาทุกอย่างเริ่มคลี่คลาย เหลือเพียงเรื่องงบประมาณภาครัฐที่ต้องการให้เร่งผลักดันออกมา"

พร้อมกันนี้ นายสุพันธุ์ มองจีดีพีของไทยปีนี้ เติบโตที่ระดับประมาณ 2.00 %

"อิสระ"มองส่งออกไตรมาส 4ปีนี้โตเกิน 5%

altขณะ ที่ นายอิสระ กล่าวถึง แนวโน้มเศรษฐกิจไทยและการส่งออกในปีนี้ว่า  จากที่ทำการศึกษาร่วมกับม.หอการค้าไทย คาดภาพรวมจีดีพีปีนี้เติบโตเกิน 2 % ส่วนการส่งออกคิดว่าไตรมาสที่ 3  น่าจะโต 3%กว่าขึ้นไป และไตรมาสที่ 4 โต 4-5% อาจจะเกิน 5% เพราะในช่วงปลายปัจจัยการใช้จ่ายน่าจะตั้งตัวได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่กังวล คือค่าเงินลดจาก 32 บาทกว่าต่อดอลลาร์ เหลือ 31 บาทกว่าต่อดอลลาร์ อีกตัวคือส่งออกผ่านชายแดนใต้มาก หากมีเหตุการณ์รุนแรง มีผลกระทบต่อนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยว จะมีผลกระทบค่อนข้างมาก เพราะการค้าขายของเราจะชะงักลง ส่วนปัจจัยสงครามตะวันออกกลาง เป็นปัจจัยเสี่ยง แต่ยังไม่กระทบกับเรามาก เพราะเราไม่ได้ค้ากับเขามาก

 

บุญทักษ์'ส่งสัญญาณปีหน้าดอกเบี้ยขาขึ้น

นายบุญทักษ์ กล่าวว่า  นับจากครึ่งหลังของปีนี้เป็นต้นไป มีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย ข่าวดีครึ่งหลังภาคธนาคารเริ่มปล่อยกู้เยอะขึ้นมาก เพราะระบบเศรษฐกิจที่ดีขึ้นจะมีการปล่อยกู้มากขึ้น คาดครึ่งหลังของปี 2557 สินเชื่อโต 5-6 % และปีหน้าคาดสินเชื่อจะโต 7-10% แต่ข่าวร้ายคือ ทิศทางครึ่งปีหลังและปีหน้า สภาพคล่องที่มีอยู่ในระบบจะค่อยๆหดลงไป ดอกเบี้ยจะแพงขึ้น ประกอบกับเรื่องของทางสหรัฐฯเริ่มลดคิวอี ปีนี้คิวอีก็คงหมดแล้ว ปีหน้าเขาต้องเริ่มดึงดอกเบี้ยขึ้น 0.50-0.75 %   ปีต่อไปก็จะขึ้นดอกเบี้ยอีก  และปีหน้าระบบประกันเงินฝากลดจาก 50 ล้านบาท  เหลือ 25 ล้านบาท ก็จะมีผลกระทบต่อเรื่องสภาพคล่องอยู่

นอกจากนี้ การใช้จ่ายของภาครัฐบาล การลงทุนของภาครัฐบาลที่ทุกคนเรียกร้อง ก็จะมาพร้อมกับการไหลออกของสภาพคล่องที่มากับการนำเข้าเครื่องจักร อุปกรณ์ต่างๆ ทำให้สภาพคล่องในระบบลดลง คนไทยคุ้นเคยกับระบบที่มีสภาพคล่องมากกว่า 10 ปี อาจจะลืมไปแล้วกับสภาพคล่องที่ตึงตัว ข่าวดีคือ สินเชื่อจะโต ข่าวร้ายคือ ดอกเบี้ยขึ้น ดอกเบี้ยขาขึ้นอย่างเดียวไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เรื่องใหญ่คือเมื่อสภาพคล่องหมดไป จะจ่ายเท่าไหร่ก็ไม่มี  สิ่งที่เราควรจะโฟกัส คือ สร้างความสามารถในการแข่งขัน

นายบุญทักษ์ ยังกล่าวด้วยว่า ปีหน้าอัตราแลกเปลี่ยนจะผันผวนมาก เพราะตอนที่เฟดบอกว่าเขาจะเริ่มขึ้นดอกเบี้ย แค่บอกว่าจะขึ้นดอกบี้ย แต่ยังไม่ขึ้น ในช่วงที่ยังไม่ได้ขึ้นคนจะคาดการณ์ต่างๆนานาจะผันผวนมาก ค่าเงินผันผวนมาก จนกระทั่งเขาขึ้นดอกเบี้ยจริงๆ ความผันผวนก็จะลดลง เหมือนตอนที่เขาบอกจะเริ่มลดคิวอีก ความผันผวนเยอะมาก เช่นเดียวกันที่เขาบอกว่าจะเริ่มขึ้นดอกเบี้ย ความผันผวนเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนก็จะเยอะมาก ส่วนที่ค่าเงินบาทของไทยแข็งค่าขึ้นผมคิดว่าเป็นการแข็งค่าชั่วคราว

อย่างไรก็ตาม ข้อดีของประเทศไทย คือเรายังมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง เงินเฟ้อ ไม่ถึง 2% เรามีสำรองเงินระหว่างประเทศที่สูง ยังเป็นจุดแข็งของเรา เราจึงควรปรับโครงสร้างเรา ตอนที่เราแข็งแรง

สิ่งที่ไทยต้องเร่งฟื้นฟูและใช้โอกาสนี้ในการปรับเปลี่ยน คือความสามารถในการแข่งขันที่ไทยถดถอยอยู่กับที่มาแล้ว 10 ปี ซึ่งหากสามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้ จะส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืนเหมือนเช่นในอดีตที่โตเฉลี่ยปีละ 5-7%

พร้อมกันนี้ นายบุญทักษ์ กล่าวด้วยว่า ทางแบงก์ประเมินจีดีพีปีนี้ไว้ที่ 2% แต่ไม่ว่าเศรษฐกิจปีนี้จะโต 2% หรือโตได้ถึง 2.5% หรือไม่นั้น จีดีพีที่ 2.5% ก็ยังไม่ใช่ระดับที่เพียงพอสำหรับเศรษฐกิจไทย

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.