
นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การต่างประเทศ ในฐานะประธานคณะมนตรีเพื่อสันติภาพและการปรองดอง กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีความพร้อมที่จะกลับมาเดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจเข้าสู่ การเติบโตได้ตามปกติแล้ว ซึ่งจะเห็นได้ว่าหลังจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เข้ามาบริหารประเทศในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ทำให้เกิดการขับเคลื่อนมาตรการต่างๆ ที่เป็นประโยชน์อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายเงินจำนำข้าวที่ค้างอยู่ให้แก่ชาวนา, การอนุมัติโครงการส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอ, การออกใบอนุญาตประกอบการโรงงาน (รง.4) รวมทั้งมาตรการสนับสนุนการประกอบธุรกิจของ SMEs เป็นต้น ขณะที่สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศเริ่มนิ่ง ไม่มีความขัดแย้งแตกแยกรุนแรงดังเช่นก่อนหน้านี้
ขณะที่ต่างประเทศต่างจับตาดูการปฏิรูปประเทศของไทย ตลอดจนโรดแม็พในด้านต่างๆ ทั้งการเมืองและเศรษฐกิจว่าจะเป็นไปได้จริงตามขั้นตอนที่ประกาศไว้หรือไม่
สำหรับนโยบายด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศและนโยบายด้านการต่างประเทศนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่ทั้งภาครัฐและเอกชนจำเป็นต้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง เนื่องจากขณะนี้ประเทศไทยถือว่าอยู่ในสถานการณ์พิเศษที่จะใช้การพบปะกันในเวทีประชุมระดับประเทศอาจไม่เพียงพอนัก ดังนั้นจะต้องมีการวางยุทธศาสตร์เป็นรายประเทศเพื่อให้เกิดความเหมาะสมกับประเทศนั้นๆมากที่สุด ซึ่งทั้งนโยบายด้านการต่างประเทศ นโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศและยุทธศาสตร์ของภาคเอกชนเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องดำเนินการให้มีความสอดคล้องกัน
นายสุรเกียรติ์ ยังเชื่อว่า เศรษฐกิจของประเทศไทยในปีหน้าจะมีทิศทางที่สดใส ซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ประเมินไว้ว่า GDP ในปี 58 จะขยายตัวได้กว่า 5% แต่ยังมีความท้าทายต่อเศรษฐกิจไทยในช่วงต่อจากนี้ คือ 1.ตัวเลขนักท่องเที่ยวที่ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน 4-5 แสนคน 2.การส่งออก แม้ในเดือน มิ.ย. จะกลับมาเป็นบวก แต่ถือว่ายังฟื้นตัวได้ไม่เต็มศักยภาพ 3.มาตรการที่ทำให้ SMEs สามารถเข้าถึงแหล่งทุนและสร้างความเข้มแข็งเพื่อรองรับต่อการเปิด AEC ในปีหน้า 4.มาตรการช่วยเหลือและยกระดับรายได้ให้แก่ชาวนา โดยจะต้องไม่เป็นภาระต่องบประมาณของประเทศ 5.มาตรการช่วยเหลือคนยากจน ทั้งการสร้างงาน สร้างรายได้อย่างยั่งยืน แต่ต้องไม่ใช่รูปแบบของประชานิยม
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยที่ต้องติดตามควบคู่กันด้วย นั่นคือปัจจัยเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลก และโรดแม็พทางการเมืองของไทยว่าจะทำให้ทุกฝ่ายที่เป็นคู่ขัดแย้ง และที่ไม่ใช่คู่ขัดแย้งได้มีส่วนร่วมในกระบวนการปฏิรูปประเทศในครั้งนี้มาก น้อยเพียงใด
ด้านนางอัมพวัน พิชาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนย.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้ทำการสำรวจภาวะธุรกิจจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,790 ราย โดยผลการสำรวจพบว่า ดัชนีภาวะธุรกิจไตรมาส 2 มีค่าเท่ากับ 43 สูงกว่าไตรมาสแรก ที่มีค่าเท่ากับ 38 ซึ่งแม้จะมีแนวโน้มสูงขึ้น แต่ยังต่ำกว่าค่า 50 ซึ่งเป็นค่าปกติ เนื่องจากยังมีความกังวลเกี่ยวกับต้นทุนการประกอบธุรกิจที่สูงขึ้น ภาวะเศรษฐกิจโลก และค่าครองชีพที่สูงขึ้น แต่ก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ เห็นได้จากดัชนีคาดการณ์ภาวะธุรกิจในอีก 3 เดือนข้างหน้า ที่มีค่าเท่ากับ 61.4 ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่มีค่าเท่ากับ 49.2 แสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไตรมาสหน้ามีทิศทาง ที่ดีขึ้น หลังจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เข้ามาบริหารประเทศ มีการคืนเงินในโครงการจำนำข้าว เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ และมีแผนในการบริหารประเทศที่ชัดเจนเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศปรับตัวดีขึ้นตามไปด้วย
นางอัมพวัน กล่าวว่า ได้มีการสำรวจภาวะธุรกิจรายสาขา พบว่า ผู้ประกอบการเกือบทุกสาขาเห็นว่าภาวะธุรกิจมีทิศทางดีขึ้น ยกเว้นสาขาเกษตรกรรม เนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวน ฝนทิ้งช่วง ปัญหาภัยแล้ง ทำให้ผลผลิตลดลง วัตถุดิบราคาสูงขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น โดยเฉพาะกุ้งที่มีปัญหาโรคระบาด ทำให้ผู้ประกอบการชะลอการเลี้ยงและการขยายบ่อเลี้ยงกุ้ง และยังมีปัญหาการแข่งขันที่สูงขึ้น ขณะที่ภาคบริการ ยังทรงตัว จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง แต่คาดว่าจะดีขึ้น หลังจากที่นักท่องเที่ยวเริ่มเข้ามาเพิ่มขึ้น