สำนักวิจัย CIMBT มองอินโดฯจะเป็นคู่แข่งไทย หากการเมืองหลั้งเลือกตั้งประธานาธิบดีมีเสถียรภาพ นักลงทุนอาจตัดสินใจย้ายฐานการผลิตเพราะต้องการกระจายความเสี่ยง ระบุรัฐบาลไทยต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน

นายอมรเทพ จาวะลา ผู้อำนวยการสำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) ให้ความเห็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีอินโดนีเซียเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2557 จะเป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะด้านการลงทุนจากต่างประเทศ หากหลังการเลือกตั้งเกิดเสถียรภาพ ไม่มีเหตุรุนแรง จะทำให้อินโดนีเซียกลายเป็นคู่แข่งขันที่น่ากลัว โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนที่กำลังตัดสินใจว่า จะเลือกไทยหรืออินโดนีเซียในการขยายฐานการผลิตหรือเป็นศูนย์กลางการ ผลิต(hub) ในอาเซียน
"หากการเมืองอินโดนีเซียมีแนวโน้มเสถียรภาพหลังจากนั้นจะยิ่งเป็นตัวแปร เปรียบเทียบที่เพิ่มความได้เปรียบมากขึ้น" นายอมรเทพ กล่าวและว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีกว่าไม่ว่าจะเป็นถนนหรือท่าเรือ แต่หากไทยไม่สามารถลงทุนเพิ่มเติมเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ให้ดี ยิ่งขึ้น อินโดนีเซียจะก้าวทันและล้ำหน้าไทยในไม่ช้า
โดยเฉพาะกรณีนักลงทุนต่างชาติมีแผนย้ายฐานการผลิตจากประเทศไทยไปยังประเทศ อื่น เช่น ประเทศญี่ปุ่นที่เป็นนักลงทุนรายใหญ่ในภูมิภาคอาเซียนมีแผนธุรกิจที่เรียก ว่า ประเทศไทยบวกหนึ่ง(Thailand plus one business model) ที่เตรียมโยกย้ายอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานสูง (labor-intensive industries)ออกจากประเทศไทยไปยังประเทศใกล้เคียงในภูมิภาคอาเซียนเพื่อ กระจายความเสี่ยงเนื่องจากช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยเผชิญทั้งปัญหาน้ำท่วมและ ความไม่สงบทางการเมือง
อย่างไรก็ตาม แม้จะสามารถบรรเทาหรือแก้ปัญหาเหล่านั้นได้ แต่ในระยะยาวยังมีปัญหาขาดแคลนแรงงานและค่าแรงที่สูงอันเป็นอุปสรรคในการ ขยายธุรกิจ โดยเฉพาะจากการที่ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็ว ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซียกำลังมีสัดส่วนคนในวัยทำงานเพิ่ม ขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งนอกจากจะช่วยส่งเสริมการขยายตัวของอุตสาหกรรมใช้แรงงานมากแล้ว ยังจะเป็นผลดีต่อการริเริ่มนวัตกรรมใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตอีกด้วย
"ไทยจำเป็นต้องอาศัยเงินลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะภาคการส่งออกที่มีปัญหาเชิงโครงสร้าง ผู้ผลิตไทยยังอาศัยเทคโนโลยีไม่สูงในการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าต่ำ อาทิ ฮาร์ดดิสก์ คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ จึงถึงเวลาแล้วที่ผู้ประกอบการไทยต้องพัฒนาเทคโนโลยี และปัจจัยสำคัญก็คือ เงินลงทุนจากต่างชาติ ดังนั้นหนึ่งในภารกิจหลักของรัฐบาลคือ การสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน อาทิ การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยเฉพาะผู้ผลิตที่มีเทคโนโลยีขั้นสูง" นายอมรเทพกล่าว
นอกจากนี้อาจมองได้ว่าการเลือกตั้งของอินโดนีเซียก็เป็นโอกาสของไทย หากการเมืองอินโดนีเซียนิ่งก็จะเป็นผลดีต่อการค้าระหว่างกันและการส่งออกของ ไทยไปอินโดนีเซีย โดยอุตสาหกรรมที่จะได้ประโยชน์ ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องจักร และเครื่องใช้ไฟฟ้า ขณะเดียวกันยังจะเป็นปัจจัยบวกสำหรับบริษัทไทยทั้งรายใหญ่และรายกลางที่วาง แผนจะขยายตลาด เนื่องจากอินโดนีเซียเป็นประเทศเป้าหมายที่น่าลงทุน เป็นฐานการผลิตที่ดีของบริษัทที่จะผลิตสินค้าเพื่อลูกค้าชาวอินโดนีเซียหรือ ผลิตเพื่อส่งออกไปตลาดโลก
ขณะที่ภาคการเงินก็เช่นกัน ก่อนหน้านี้ความไม่แน่นอนทางการเมืองส่งผลต่อความผันผวนของค่าเงินรูเปีย เมื่อการเมืองนิ่ง ค่าเงินน่าจะนิ่งตาม ซึ่งค่าเงินที่มีเสถียรภาพมากขึ้นจะสร้างความน่าสนใจให้แก่ตลาดเงินและตลาด ทุนของทั้งอินโดนีเซียเองและต่อภูมิภาค และไทยเองก็จะได้รับความน่าสนใจจากนักลงทุนต่างชาติเช่นกัน
"ไม่ว่าใครจะได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ระหว่าง Jokowi หรือ Prabowo ก็จะส่งผลดีต่อภาพรวมของอินโดนีเซีย ความไม่แน่นอนทางการเมืองจะปิดฉากลงหลังการนับคะแนนเสียงเลือกตั้งจะสิ้นสุด ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ในเอเชียด้วยประชากรมากกว่า 250 ล้านคนจะยิ่งเย้ายวนในสายตานักลงทุนข้ามชาติ" นายอมรเทพ กล่าวในที่สุด