
ทีเอ็มบีแบงก์เผยผลสำรวจ "ดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนข้างหน้า"ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 62.2% สะท้อนความเชื่อมั่นสูงสุดในรอบ 9 เดือน ดัชนีความคาดหวังจะปรับตัวดีขึ้นหลังมิถุนายนแตะ 78.0% แนะผู้ประกอบการจับตา 3 ตัวแปรรั้งสภาพคล่อง "การเมือง ต้นทุนด้านพลังงานและวัตถุดิบ คู่ค้าขยายการชำระออกไป" ขณะที่ "เงินบาท" ทั้งปีอยู่ที่ระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
ดร.เบญจรงค์ สุวรรณคีรี ผู้อำนวยการศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ธนาคาร ทหารไทย จำกัด (มหาชน) (บมจ.) หรือ ทีเอ็มบี เปิดเผยว่า จากผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) พบว่าความเชื่อมั่นผู้ประกอบการในไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ระดับ 36.6% นับเป็นจุดต่ำสุดตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ปี 2556 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวภายในประเทศ อย่างไรก็ดีจากผลสำรวจพบว่าดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนข้างหน้ากลับมาฟื้นตัวดีขึ้น โดยอยู่ที่ระดับ 55.7% จากไตรมาสก่อนอยู่ที่ 51.1% โดยสัญญาณความเชื่อมั่นเร่งขึ้นในเดือนมิถุนายนอยู่ที่ 37.6% จากเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ 32.8% ถือเป็นจุดต่ำสุดในปีนี้ ส่งผลให้ความเชื่อมั่นผู้ประกอบการใน 3 เดือนข้างหน้าปรับขึ้นมาอยู่ที่ 62.2% จากระดับ 51.7% ในเดือนก่อน นับเป็นความเชื่อมั่นที่สูงที่สุดในรอบ 9 เดือน
ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่สะท้อนความเชื่อมั่นผู้ประกอบการดีขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการคลายกังวลปัญหาทางด้านการเมืองภายหลังจากคณะรักษาความ สงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามายึดอำนาจการปกครอง และสามารถดำเนินนโยบายการปลดล็อกเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นการสร้างบรรยากาศและมุมมองที่เป็นบวกต่อภาคธุรกิจ ตลอดจนการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการต่างๆ เช่น การให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เข้ามาช่วยธุรกิจเอสเอ็มอี หรือการผ่อนคลายกฎระเบียบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำให้ภาคธุรกิจมีความมั่นใจมากขึ้นและมีความคาดหวังผลประกอบการในอีก 3 เดือนข้างหน้าจะปรับตัวดีขึ้น โดยดัชนีความคาดหวังในเดือนมิถุนายนอยู่ที่ 78.0% จากเดือนก่อนหน้าอยู่ที่ 63.1%
อย่างไรก็ตาม แม้แนวโน้มความเชื่อมั่นจะดีขึ้น แต่สิ่งที่ผู้ประกอบการยังคงเป็นห่วงและยังติดตามใกล้ชิด คือปัจจัยทางการเมือง และต้นทุนทางด้านการเงิน โดยเฉพาะทางด้านพลังงานและวัตถุดิบ ซึ่งมีผลกระทบต่อธุรกิจค่อนข้างมาก และเป็นเรื่องที่บริหารจัดการควบคุมลำบาก รวมถึงคู่ค้าที่ขยายการชำระออกไป ทำให้ธุรกิจยังขาดสภาพคล่อง ดังนั้น เป็นเรื่องที่จะต้องดูแลในระยะสั้น และเร่งสร้างความเชื่อมั่นต่อเนื่อง
"หลังจากมีการยึดอำนาจการปกครองเราได้ติดตามผลสำรวจความเชื่อมั่นอย่างใกล้ ชิด และพบว่ามุมมองของผู้ประกอบการในอีก 3 เดือนข้างหน้าเพิ่มขึ้นมาก เพราะมีความรู้สึกคลายความกังวลกับปัญหาการเมือง และเศรษฐกิจได้กระตุ้นให้มีการเดินหน้า อย่างไรก็ดี ภาวะเศรษฐกิจและธุรกิจยังไม่ได้ฟื้นขึ้นได้ 100% ยังคงมีเรื่องของกระแสเงินสดในธุรกิจที่ต้องติดตามหลังจากได้รับผลกระทบช่วง เศรษฐกิจชะลอตัว"
ดร.เบญจรงค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังประเมินว่าจะขยายตัวอยู่ที่ 4.3% จากครึ่งปีแรกขยายตัวติดลบหรือทรงตัวที่ 0% ส่งผลทั้งปีเติบโตที่ระดับ 2% ส่วนจะขยายได้มากกว่าหรือจะเติบโตได้เร็วมากน้อยระดับใด ขึ้นอยู่กับการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจที่คสช.ประกาศไว้ โดยฝากความหวังไว้ที่การลงทุนภาคเอกชนให้เกิดขึ้น แต่เชื่อว่าการฟื้นตัวจะเป็นไปในลักษณะV-SHAPE โดยการบริโภคจะเป็นตัวหนุนในไตรมาสที่ 3 และ 4 อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยจะกลับมาเติบโตได้เต็มศักยภาพได้ในปี 2558 ที่มองว่าจะเติบโตมากกว่า 4% เป็นการเติบโตมาจากเครื่องยนต์ทั้ง 4 เครื่อง ทั้งการบริโภค การลงทุนภาคเอกชน นโยบายการคลัง และส่งออก
สำหรับทิศทางค่าเงินบาท แม้ว่าจะเห็นกระแสเงินทุนไหลเข้ามาต่อเนื่องในเดือนนี้ เป็นผลมาจากธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (เฟด) ยังไม่ได้ส่งสัญญาณการปรับอัตราดอกเบี้ย ทำให้นักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะสั้นเข้ามาลงทุนในพันธบัตรในไทยอยู่ แต่ไม่ได้เป็นประเด็น เพราะค่าเงินบาทจะมีความผันผวนก็ต่อเมื่อ เฟดส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ย เหมือนกับในปี 2556 ที่มีการประกาศลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ทำให้ค่าเงินบาทผันผวน แต่เชื่อว่าเงินบาทคงไม่กลับไปแข็งค่าที่ระดับ 29.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมองทั้งปีอยู่ที่ 32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเหมาะสมกับภาวะตลาดและเศรษฐกิจไทยปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี แนวโน้มในปี 2558 หากเฟดมีการปรับดอกเบี้ย จะเห็นเงินบาทอ่อนค่ารวดเร็วขึ้น แต่คงไม่อ่อนค่ามากจนถึงระดับ 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ อาจจะอยู่ประมาณ 33.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ผู้ประกอบการอาจจะต้องมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ส่วนดอกเบี้ยนโยบายคาดว่าจะคงอยู่ที่ระดับ 2% และจะกลับมาอยู่ในช่วงขาขึ้นในปี 2558 โดยมีโอกาสปรับขึ้น 0.50-0.75% แต่ก็ขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจในประเทศและต่างประเทศ และอัตราเงินเฟ้อในขณะนั้น
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 2,968 วันที่ 24 - 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2557