สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

600 บริษัทข้ามชาติ มองไทยยังน่าลงทุน
26/07/2014
ข่าวเศรษฐกิจ

น่าจะเป็นข่าวดีสำหรับประเทศไทยไม่ใช่น้อย เมื่อผลการสำรวจความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอ ได้นำผลศึกษาและวิเคราะห์ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติในประเทศไทยประจำ ปี 2557 ที่ จัดทำขึ้นระหว่างเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคมปีนี้ โดยบริษัท โบลลิเกอร์ แอนด์ คอมพานี(ประเทศไทย) จำกัด ออกมาเปิดเผย ว่าไทยยังเป็นประเทศที่น่าลงทุนในสายตาของนักลงทุนต่างชาติอยู่ แม้ว่าสถานการณ์ในช่วงที่ผ่านมา จะมีวิกฤติทางการเมืองเกิดขึ้นก็ตาม

++ต่างชาติเชื่อมั่นลงทุนต่อเนื่อง

โดยผลการสำรวจนักลงทุนผ่านกลุ่มตัวอย่าง 600 บริษัท  ใน 7 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ เกษตรกรรมและผลิตผลจากการเกษตร อุตสาหกรรมเหมืองแร่ เซรามิกและโลหะขั้นมูลฐาน อุตสาหกรรมเบา อาทิ สิ่งทอ เครื่องประดับและเครื่องหนัง อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่ง อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ กระดาษ และพลาสติก และกิจกรรมบริการและสาธารณูปโภค ซึ่งมีทั้งที่ได้รับและไม่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ

http://www.thanonline.com/images/stories/article2014/2968/702.jpg

ในจำนวนนี้ เป็นนักลงทุนจากญี่ปุ่นถึง 51 % รองลงมาเป็น สหภาพยุโรป อาเซียน ไต้หวัน เกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกา จีน ฮ่องกง สวิตเซอร์แลนด์ และออสเตรเลีย เป็นต้น แต่ละบริษัทมีสินทรัพย์รวมมากกว่า 500 ล้านบาทขึ้นไป มีจำนวนพนักงานระหว่าง 51-200 คน ประกอบกิจการในไทยมาแล้วระหว่าง 6-10 ปี หรือ 11-15 ปี

ชี้ให้เห็นว่านักลงทุนส่วนใหญ่ 98 % ยังมีความเชื่อมั่นต่อประเทศไทย ในจำนวนนี้มีถึง 74 % ที่จะรักษาระดับการลงทุนในประเทศไทย ขณะที่ 24 % มีแผนที่จะขยายการลงทุน ซึ่งนักลงทุนจากจีน ฮ่องกง และไต้หวัน เป็นกลุ่มที่มีแผนรักษาระดับการลงทุนในสัดส่วนที่มากสุด รองลงมาเป็นไต้หวันและญี่ปุ่น ส่วนนักลงทุนจากออสเตรเลีย และเกาหลีใต้ เป็นกลุ่มนักลงทุนที่มีแผนขยายการลงทุนในสัดส่วนที่สูงกว่านักลงทุนชาติ อื่นๆ รองลงมาเป็น สวิตเซอร์แลนด์ สหรัฐอเมริกา อาเซียน สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ตามลำดับ

ทั้งนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสำคัญที่จะขยายการลงทุนในอันดับ ต้นๆ จะเป็นอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่ง รองลงมาเป็นอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ กระดาษ และพลาสติก และอุตสาหกรรมเบา อาทิ สิ่งทอ เครื่องประดับและเครื่องหนัง ตามลำดับ

++มีซัพพลายเออร์ที่เข้มแข็ง++

โดยจะเห็นได้ว่าปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจให้นักลงทุนต่างชาติ ยังคงรักษาระดับการลงทุนหรือขยายการลงทุนในไทยนั้น จะมาจากปัจจัยการผลิตที่ไทยมีซัพพลายเออร์เพียงพอ มีวัตถุดิบ ชิ้นส่วน และโครงสร้างพื้นฐานโดยรวมมีเพียงพอ และสามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้ง่าย ประกอบกับค่าจ้างแรงงานฝีมืออยู่ในระดับที่เหมาะสม

อย่างไรก็ตาม ในจำนวนกลุ่มตัวอย่างดังกล่าว พบว่านักลงทุนต่างชาติที่ลดระดับการลงทุนหรือถอนการลงทุนในประเทศไทยนั้น จะมีอยู่เพียง 2 % หรือมีพียง 13 ราย ที่เกิดความไม่มั่นใจในสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่มีเสถียรภาพ ค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำและค่าจ้างแรงงานฝีมือไม่เหมาะสม และขบวนการทำงานของภาครัฐไม่โปร่งใส เป็นต้น และเมื่อสอบถามถึงแผนที่จะขยายการลงทุนไปในต่างประเทศ นักลงทุนส่วนใหญ่ สนใจที่จะเข้าไปลงทุนในจีนและเวียดนามเป็นอันดับต้นๆ

นอกจากนี้ ผลการสำรวจยังชี้ให้เห็นว่า นักลงทุนต่างชาติกว่าครึ่ง คาดการณ์ว่าในปี 2557 ผลประกอบการทั้งรายได้รวม และกำไร ที่ได้จากตลาดทั้งในและต่างประเทศ จะปรับตัวดีขึ้นกว่าปี 2556 เนื่องจากปัจจัยการผลิตในปี 2557 มีความเอื้ออำนวยกว่าปี 2556 ไม่ว่าจะเป็นซัพพลายเออร์ วัตถุดิบ และชิ้นส่วน ที่มีอย่างเพียงพอ และจะยังส่งผลให้ผลประกอบการในปี 2558 ปรับตัวดีขึ้นด้วย

http://www.thanonline.com/images/stories/article2014/2968/701.jpg

++คสช.ช่วยกระตุ้นการลงทุน++

ที่สำคัญการสำรวจครั้งนี้ ได้มีการจัดทำต่อเนื่องภายหลังจากที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เข้ามาบริหารประเทศแล้ว โดยมีการสัมภาษณ์เชิงลึก ถึงความเชื่อมั่นในนโยบายและมาตรการทางเศรษฐกิจของ คสช. นักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่มีความเชื่อมั่นในเสถียรภาพทางการเมืองและการบริหารจัดการเศรษฐกิจของคสช.ในระยะสั้น เนื่องจากมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นการตั้งคณะกรรมการบริหารหรือบอร์ดบีโอไอ เพื่อมาพิจารณาโครงการที่ค้างอยู่ อีกทั้ง เชื่อมั่นในแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของ คสช. โดยเฉพาะระบบการขนส่ง ที่จะเป็นประโยชน์ในระยะยาวในการช่วยลดต้นทุนขนส่งสินค้า

ประกอบกับนักลงทุนญี่ปุ่น มีความเข้าใจกับสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น โดยยังเชื่อมั่นในพื้นฐานระบบเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของแรงงานที่มีคุณภาพ ประเทศตั้งอยู่ในทำเลที่เหมาะสม เป็นศูนย์กลางในการกระจายสินค้าในภูมิภาค มีกฎระเบียบที่เอื้อต่อการลงทุน

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต่างชาติมีความเป็นห่วงในเรื่องปัจจัยการผลิต โดยมีความกังวลว่าแรงงานกลุ่มที่มีทักษะต่ำของไทยหายากมากขึ้น ไม่เพียงพอต่อความต้องการ เนื่องจากมีการอพยพกลับภูมิลำเนา ในขณะที่แรงงานที่มีฝีมือก็เลือกงานมากขึ้นและต้องการค่าจ้างที่สูงขึ้น เกิดปัญหาขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า อุตสาหกรรมเกษตรและผลผลิตจากการเกษตร และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักร และอุปกรณ์ขนส่ง

นอกจากนี้ นักลงทุนยังสะท้อนให้เห็นว่า มาตรการรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซีของไทย ยังไม่เหมาะสมและไม่เพียงพอ โดยเฉพาะการเผยแพร่ความรู้ซึ่งเนื้อหายังไม่ลึกซึ้งและยังไม่เป็นประโยชน์ ต่อภาคธุรกิจอย่างแท้จริง ภาคเอกชนต้องแสวงหาความรู้ด้วยตัวเอง เป็นต้น

++ไทยมีจุดดึงดูดต่างชาติ++

นายอุดม วงศ์วิวัฒน์ไชย เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอ ชี้ให้เห็นว่าที่ผ่านมาแม้จะมีสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองเกิดขึ้นก็ตาม ผลการสำรวจดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า นักลงทุนต่างชาติยังมีมุมมองต่อการลงทุนในประเทศไทยไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะนักลงทุนญี่ปุ่นมีความเข้าใจสถานการณ์ทางการเมืองเป็นอย่างดี อีกทั้ง นักลงทุนจากหลายประเทศเริ่มมีสัดส่วนมูลค่าการเข้ามาลงทุนเพิ่มมากขึ้น จากปัจจุบันญี่ปุ่นจะมีมูลค่าการลงทุนในไทยมากที่สุด ขณะที่จีนจากที่มีมูลค่าการลงทุนไม่ถึง 1 % ในปี 2551 เพิ่มขึ้นมาเป็น 9.56 % ในปี 2556 เป็นต้น ส่วนหนึ่งน่าจะมีปัจจัยมาจากนักลงทุนต่างชาติต้องการเลี่ยงปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้น จึงเข้ามาหาตลาดในเอเชียแทน ประกอบกับเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าของไทยหลายประเทศกำลังฟื้นตัวจากวิกฤตที่เกิดขึ้น

อีกทั้ง การที่ คสช.มีแผนที่จะพัฒนาระบบโลจิสติกส์และโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ โดยเฉพาะการพัฒนาระบบราง จะทำให้การเดินทางและการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศสามารถทำได้รวดเร็วและมีต้นทุนต่ำ ซึ่งจะเอื้ออำนวยแก่ผู้ประกอบการในการลดต้นทุน รวมถึงการเปิดเออีซี ที่จะใช้ไทยเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงกับประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาค ที่กล่าวมานี้น่าจะเป็นการดึงดูดให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้นได้

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 2,968 วันที่ 24 - 26 กรกฎาคม  พ.ศ. 2557

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.