สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

จับตาส่งออกหลัง Tier 3
07/07/2014
ข่าวเศรษฐกิจ

จับตาส่งออกหลัง Tier 3 : ปฏิญญา สิงห์พิสาร

เกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย ที่ดูเหมือนว่าจะเริ่มเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่กลับเหมือนยังทรงตัวทั้งๆ ที่หลายฝ่ายดาหน้ากันออกมาปรับประมาณการผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ทั้งปีเพิ่มขึ้นอย่างคึกคัก โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประเดิมด้วยคาดการณ์จีดีพีทั้งปีจะโตที่ 1.5% จากก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ได้คาดการณ์ไว้ต่ำกว่า 1% ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทยก็ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 2.3% จากเดิม 1.8%

ก.พาณิชย์มาเลเซีย เผยภาคการส่งออกของประเทศกลับมาขยายตัวอีกครั้งในเดือน พ.ย. ขณะที่ปริมาณความต้องการจากจีนเริ่มฟื้นตัว

ขณะที่จีดีพีปรับเพิ่มขึ้นตามที่คาดกันว่าเศรษฐกิจจะฟื้นขึ้นได้ในช่วงครึ่งปีหลัง แต่กลับกันภาคการส่งออกที่ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจไทย กลับปรับลดอย่างน่าใจหาย เมื่อ ธปท.ปรับลดเป้าส่งออกปีนี้เหลือโตที่ 3% จากเดิมที่คาดไว้ 4.5% และปีหน้าคาดว่าจะเติบโตที่ 6% มาจากการส่งออกมีแนวโน้มฟื้นตัวค่อนข้างช้า อุปสงค์ของประเทศจีน ญี่ปุ่น และอาเซียนลดลง แต่การส่งออกในประเทศหลักดีขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงเทคโนโลยีไทยยังมีข้อจำกัดที่อาจทำให้ไม่ได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของ เศรษฐกิจโลก และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการค้าโลก อาจทำให้เอเชียรวมถึงไทยไม่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกเหมือนในอดีต

ทางด้านสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน ปรับลดประมาณการส่งออกปีนี้ อาจลดต่ำกว่าที่เคยประมาณการเติบโตที่ 3% มาจากปัญหาเศรษฐกิจของโลกที่ยังไม่ปรับตัวดีขึ้น ทำให้กระทบการส่งออกของไทยอย่างชัดเจน รวมถึงปัญหาสงคราม การเมือง และปัญหาของสหรัฐอเมริกา อีกทั้งปัญหาศักยภาพการส่งออกของผู้ประกอบการไทย เห็นได้จากมูลค่าการส่งออกในรูปเหรียญสหรัฐ ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ตัวเลขของการส่งออกที่ติดลบอย่างต่อเนื่องยังสะท้อนถึงความสามารถ ในการแข่งขันของไทย ที่อาจมีแนวโน้มลดลงระยะยาวด้วย

ทั้งนี้ เมื่อกลับมาดูตัวเลขการส่งออกประจำเดือน พ.ค. มีมูลค่า 19,401.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 2.14% ส่วนมูลค่าการส่งออก 5 เดือน อยู่ที่ 92,862.1 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัวลง 1.22% แต่ยังคงได้ประโยชน์จากมูลค่าในรูปเงินบาท ซึ่งในเดือน พ.ค. มีมูลค่า 621,197 ล้านบาท เติบโต 9.81% ระยะ 5 เดือนแรก มูลค่า 2,995,338.3 ล้านบาท เติบโต 8.26% เนื่องจากค่าเงินบาทอ่อนตัวลง

อาจเป็นไปได้ว่า นอกจากส่งออกจะฟื้นตัวได้ช้าแล้ว ส่วนหนึ่งคาดว่าจะมาจากการที่ไทยถูกลดระดับรายงานการค้ามนุษย์สู่ระดับต่ำสุด (Tier 3) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการพิจารณาการสั่งซื้อสินค้าบางกลุ่ม เนื่องจากประเทศคู่แข่งถูกจัดอันดับดีกว่าประเทศไทย ส่วนการส่งออกในสหภาพยุโรป หรือ EU นั้น มองว่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากการประกาศนโยบายของ EU แต่จะกระทบจากการตัดสิทธิผลประโยชน์ทางภาษี หรือ GSP ในสินค้า 723 รายการ และการชะลอการเจรจาเขตการค้าเสรี (FTA) ระหว่างประเทศไทยกับ EU

ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจที่เรื่องดังกล่าวจะถูกโยงมาเชื่อมกับความเชื่อมั่นของ คู่ค้า ผู้นำเข้า และผู้ซื้อสินค้าไทยในสหรัฐ เพราะเป็นผลทางอ้อมในเชิงภาพลักษณ์ ที่ทำให้ไทยต้องเร่งชี้แจงทำความเข้าใจ และเปิดโอกาสให้มีการตรวจสอบกระบวนการผลิตตลอดห่วงโซ่ ให้ได้มาซึ่งการยืนยันและดึงความเชื่อถือโดยคู่ค้าที่มีสายสัมพันธ์กันมา อย่างยาวนาน และควรจะมีการปรับสถานะดีขึ้นในการพิจารณาในรอบปีถัดไป (มิ.ย.2558) เนื่องจากผลกระทบต่อภาคการส่งออกสินค้าไทยไปยังสหรัฐ รวมถึงภาพรวมของเศรษฐกิจไทย

ในส่วนของประเด็นด้านภาพลักษณ์ต่อสินค้าไทยในเวทีโลก ทุกฝ่ายควรเร่งด่วนที่จะช่วยกันฟื้นความเชื่อมั่นต่อคู่ค้า ผู้นำเข้าและผู้ซื้อในตลาดต่างประเทศ เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อภาคเศรษฐกิจไทยให้อยู่ในวงแคบที่สุด แต่ต้องยอมรับว่าประเด็นด้านการใช้แรงงานถือเป็นสิ่งสะท้อนถึงปัญหาในเชิงโครงสร้างในภาค อุตสาหกรรมและตลาดแรงงานในระดับประเทศ ทั้งการขาดแคลนแรงงานไร้ฝีมือ ความไม่สมดุลของตลาดแรงงานเมื่อเทียบกับอุปสงค์ของภาคอุตสาหกรรม

จากนี้คงเป็นสิ่งที่ต้องทำการบ้านกันอีกครั้ง ในการที่ทุกภาคส่วนควรเร่งบูรณาการและสร้างแรงจูงใจให้เกิดการพัฒนา อุตสาหกรรมไปในแนวทางที่เน้นการสร้างสินค้าคุณภาพที่มีมูลค่าเพิ่ม โดยอาศัยการพึ่งพาแรงงานในสัดส่วนที่ลดลง ควรมีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ในเชิงพาณิชย์ที่เป็นรูปธรรม มากขึ้น และควรสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยที่มีศักยภาพออกไปขยายการลงทุนในต่าง ประเทศบ้าง เพื่อลดความเสี่ยงและสร้างความมั่นคงของสายการผลิต ซึ่งจะช่วยให้ไทยรักษาขีดความสามารถการแข่งขันในเวทีโลกไว้ได้อีกครั้งและที่สำคัญ ควรลงมือทำตั้งแต่ตอนนี้ ไม่ใช่ปล่อยให้เป็น “วัวหายแล้วล้อมคอก” เพราะปัญหาดังกล่าวกระทบกับภาคการส่งออก ซึ่งไม่สามารถรอได้นาน และอาจสร้างความเสียหายไปมากกว่านี้ได้.

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.