ยูบีเอสปรับลดจีดีพีไทยปีนี้เหลือ 1.2% จากเดิม 3.6% หลังการเมืองเปลี่ยน แจงไม่มีการใช้จ่ายภาครัฐหนุน

นายเอดวาร์ด ธีทเตอร์ นักเศรษฐศาสตร์ของยูบีเอส วาณิชธนกิจชั้นนำของยุโรป ให้ข้อมูลการปรับคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้ว่า ได้ปรับลดลงเหลือ 1.2%ของจีดีพี ซึ่งก่อนหน้านี้ยูบีเอสให้ไว้ที่ระดับ 3.6% โดยเขาพิจารณาจากภาวะการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจ น่าจะยุติลงในไตรมาส 3 ปีนี้ และที่ผ่านมาอุปสงค์ภายในประเทศอ่อนแอไม่ขยายตัว อีกทั้งการใช้จ่ายนอกงบประมาณและการลงทุนในสาธารณูปโภคของภาครัฐไม่เกิดขึ้น
ต่อข้อถามที่ว่าการเปลี่ยนเปลี่ยนทางการเมือง จะสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจหรือไม่อย่างไร นายธีตเตอร์ มองว่า หลังการเปลี่ยนแปลงการเมือง เศรษฐกิจเริ่มกลับมาทำงานได้อีกครั้ง แต่เขาคาดหวังว่าจะไม่ได้เห็นการแทรกแซงทางเศรษฐกิจจนมากเกินไป และควรมีการจัดสรรทรัพยากรภายในประเทศอยู่บนพื้นฐานความมีอิสรเสรีมีและเปิดเผย รัฐบาลใหม่ก็ควรดำเนินการช่วยให้เศรษฐกิจจากนี้ไปเติบโตได้แบบสมเหตุสมผล
ในระยะใกล้นี้เขาเห็นว่า ส่วนที่จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย น่าจะมาจากการลงทุนของรัฐวิสาหกิจและภาคเอกชน แต่การใช้จ่ายของภาครัฐเพื่อการลงทุนสาธารณูปโภคน่าจะล่าช้า เพราะมีหลายโครงการที่เคยเสนอไว้ยังอยู่ในการพิจารณาและทบทวนของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ดังนั้นนโยบายการคลังจัดการงบประมาณไม่น่าจะช่วยเศรษฐกิจขยายตัวได้ปีนี้
นายธีทเตอร์ คิดว่า ตอนนี้ความเชื่อมั่นในไทยมีมากขึ้น และผู้คนอยากใช้จ่ายมากขึ้น มากว่าจะหยุดใช้จ่าย ส่วนปัญหาหนี้ครัวเรือนอยู่ระดับสูง ประมาณ 80% ของจีดีพี ซึ่งเป็นระดับใกล้เคียงกับมาเลเซียนั้น เป็นผลจากรายได้ต่อหัวในไทยสูง แต่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เขาคิดว่า จะยังเกิดขึ้นในภาวะหนี้ครัวเรือนอยู่ระดับสูง
"การฟื้นตัวของเศรษฐกิจส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของสินเชื่อ ที่ผ่านมาการใช้จ่ายของครัวเรือนก็ปรับลดลงมาก แต่การฟื้นตัวโดยรวมของไทยมาจากการใช้จ่ายในประเทศมากขึ้น ขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดเมื่อปรับลดลง ช่วยศักยภาพการเติบโตของไทยยังแข็งแกร่ง แต่ไม่คิดว่าหนี้ภาคครัวเรือนจะเพิ่มขึ้นเทียบช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และการเติบโตสินเชื่อไม่น่าจะมากในปีหน้า"
เมื่อถามถึงแนวโน้มส่งออกของไทยเป็นอย่างไรนั้น นายธีทเตอร์มองว่าการส่งออกไทยขยายตัวน่าผิดหวัง จากที่คาดว่าจะฟื้นตัวช่วงครึ่งแรกของปีนี้ และเมื่อเทียบการฟื้นตัวส่งออกไทยกับทั้งภูมิภาคเอเชีย ซึ่งทำได้ค่อนข้างดี ไม่ว่าจะเป็นมาเลเซีย หรืออินโดนีเซีย แต่พัฒนาการการส่งออกของไทย กลับฟื้นตัวช้าตามหลังเพื่อนบ้าน เหตุผลสำคัญคือการขยายตัวของการส่งออกไทยเทียบรายไตรมาสขยายตัวไม่ค่อยดี การส่งออกรายไตรมาสขยายตัวได้น้อย ตรงข้ามกับการส่งออกของมาเลเซียการทำได้ค่อนข้างดี
เขาคาดหวังว่า การส่งออกของไทยจะฟื้นตัวได้เพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจในปีนี้ โดยเขายอมรับว่ายังกังวลเกี่ยวกับระดับสินค้าคงคลังในกลุ่มอุตสาหกรรมเกี่ยวข้องกับการส่งออก ตอนนี้อยู่ในระดับค่อนข้างสูง ทั้งที่ในอดีตการฟื้นตัวที่จะช่วยให้เกิดการเติบโตได้มากที่สุด ต้องอาศัยภาวะสินค้าคงคลังของภาคการผลิตเกี่ยวข้องกับการส่งออกต้องอยู่ระดับต่ำ และไม่ควรอยู่ในระดับสูง
สำหรับปีหน้า นักเศรษฐศาสตร์ยูบีเอส คาดการณ์บนสมมุติฐานเป็นกลางว่า ในช่วง 2 ไตรมาสที่เหลือของปีนี้อุปสงค์ในประเทศปรับลดลงก่อนหน้านี้ น่าจะฟื้นตัวดีขึ้น และจากสมมุติฐานที่รวมเอาภาวะที่มีการใช้จ่ายเพื่อลงทุนสาธารณูปโภคเพิ่มขึ้นมาก จะช่วยสนับสนุนคาดการณ์จีดีพีให้ขยายตัวได้อย่างน่าแปลกใจ ที่ระดับ 5-6% ในปีหน้า ซึ่งบนสมมุติฐานเป็นกลางเขาคาดว่าจีดีพีไทยจะขยายตัวได้ 5.2%
"หากพิจารณาจากสมมุติฐานเป็นบวกอย่างมาก ถ้าการชะลอตัวของเศรษฐกิจยุติลงในไตรมาส 3 และภาวะอุปสงค์ภายในประเทศกลับฟื้นตัวดีขึ้นแบบ 100% ในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้จนถึงไตรมาส 2 ปีหน้า ขณะเดียวกันมีการใช้จ่ายลงทุนด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานเพิ่มเติมตั้งแต่กลางปี 2558 คิดเป็นสัดส่วน 1% ของจีดีพี จะช่วยผลักดันจีดีพีไทยโตได้มากกว่าคาดการณ์ไว้ หรือมากกว่า 6% ในปีหน้า"