วัดฝีมือ คสช. ฝ่ามรสุมต่างชาติ : ครองขวัญ รอดหมวน
เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวทางด้านเศรษฐกิจที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องแล้ว สำหรับ “ประเทศไทย” โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังที่หลายๆ สำนักทั้งภาครัฐและเอกชนเริ่มออกมาฟันธงแล้วว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้จะฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยเป็นการฟื้นตัวที่ดีขึ้นกว่าช่วงครึ่งปีแรกที่เศรษฐกิจเสี่ยงเติบโตติดลบ หรือเติบโตได้แถวๆ 0% กว่าๆ

ส่วนหนึ่งที่ต้องยอมรับเป็นเพราะการเข้ามาของ “คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)” ที่เร่งปฏิรูปทั้งภาคสังคม การเมือง ไปจนถึงเศรษฐกิจ จนทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงได้ในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะในภาคเศรษฐกิจที่สามารถเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนจากภาคเอกชนได้อย่างดีทีเดียว โดยเฉพาะการเร่งอนุมัติโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) มูลค่ากว่า 7-8 แสนล้านบาท ช่วยเรียกความมั่นใจกลับมาให้นักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศได้อย่างท่วมท้น
เนื่องจากที่ผ่านมาโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนค้างท่อมานานแรมปี หลังจากที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ไม่ครบองค์ประชุม เรื่อยมาจนถึงการประกาศยุบสภาของรัฐบาลที่ผ่านมาเป็นเหมือนอุปสรรคชิ้นใหญ่ ของภาคการลงทุนในส่วนนี้ และท้ายที่สุดเมื่อได้รับการปลดล็อกอย่างเป็นระบบแล้ว เชื่อว่าสถานการณ์ต่างๆ น่าจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น จนสามารถเดินหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพในที่สุด
จากความพยายามของทีมเศรษฐกิจ คสช. ในช่วงที่ผ่านมาได้สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนผ่านการปรับประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของไทยในปีนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพิ่มขึ้นเป็น 1.5% จากก่อนหน้านี้เคยปรับลดประมาณการลงไปถึงขั้นขยายตัวได้ต่ำกว่า 1% ด้วย เพราะความมั่นใจว่าแนวโน้มเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังจะเดินหน้าได้เป็นอย่างดี
นั่นเพราะกลจักรที่เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลายๆปัจจัยกลับมาเดินหน้าได้ “เกือบ” เป็นปกติแล้ว โดยเฉพาะการใช้จ่ายเงินงบประมาณของรัฐบาล ที่ถือเป็นกลจักรสำคัญในการกระตุ้นภาคเศรษฐกิจของประเทศ และต้องชะงักลงไปเมื่อช่วงต้นปีเพราะการเมืองไม่เอื้ออำนวยอย่างรุนแรง
ขณะที่ภาคเอกชนอย่าง “ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” ก็เดินหน้าขยับตัวเลขจีดีพีในปีนี้เพิ่มเป็น 2.3% จากเดิมคาดการณ์ที่ 1.8% โดยความหวังทั้งหมดทุ่มลงไปที่เศรษฐกิจครึ่งหลังของปีว่ามีโอกาสเติบโตได้ สูงถึง 4.3% จากครึ่งปีแรกเติบโตได้เพียง 0.2% โดยเฉพาะไตรมาสแรกที่กดดันอย่างหนัก เพราะเติบโตติดลบ 0.6%
แต่สิ่งที่น่าจับตาเป็นพิเศษในยามที่เศรษฐกิจไทยกำลังจะกลับมาลืมตาอ้าปากอีกครั้งนั้นคือ “ภาคการส่งออก” ยังคงน่าเป็นห่วง แม้จะไม่มากเหมือนที่ผ่านมาไม่เพียงเพราะผลกระทบจากปัญหาการเมือง แต่ขณะนี้ยังมีปัจจัยลบจากการที่สหรัฐประกาศปรับลดอันดับประเทศไทยเรื่องการค้ามนุษย์ให้อยู่ในระดับต่ำสุด หรือ Tiere3 ซึ่งนักวิเคราะห์หลายคนฟันธงว่าอาจมีผลกระทบกับอุตสาหกรรมส่งออกกุ้งที่ไทยเคยครองแชมป์อันดับ 1 ของโลก (เมื่อหลายปีที่ผ่านมา"แต่ต้องมาเสียแชมป์เพราะประสบปัญหาโรคกุ้งตายด่วน”และการส่งออกปลาป่น ตลอดจนกรณีที่สหภาพยุโรป (อียู) ประกาศลดความสัมพันธ์โดยการระงับการเยือนไทยอย่างเป็นทางการเลวร้ายจนถึงขั้นอาจทำให้อียูหยุดการเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรี(เอฟทีเอ)กับไทย ซึ่งในข้อนี้อาจมีผลกระทบอย่างมากในแง่ของการแข่งขันในภาคธุรกิจ
นี่ยังไม่รวมปัญหาการไหลออกของแรงงานต่างด้าว ที่คิดคราวๆ มีปริมาณสูงมากกว่า 1 ใน 3 ของแรงงานที่ประกอบอาชีพขั้นพื้นฐานราว 4.5 ล้านคน จนหลายฝ่ายประเมินว่าอาจส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจในด้านต้นทุนในระยะยาวได้นั่นเพราะผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพาแรงงานเป็นหลัก อาจต้องอัดฉีดค่าแรงเพิ่มขึ้นเพื่อดึงคนงานต่างด้าวที่ไหลออกกลับมาหรือดึงแรงงานจากอุตสาหกรรมอื่นๆ มาซับพอร์ตอุตสาหกรรมตัวเอง ท้ายที่สุดก็จะกลายเป็นปัญหาแก่ต้นทุนระยะยาวได้
ปัจจัยเสี่ยงทั้งหมดนี้ คงเป็นอีกหนึ่ง “งานหนัก” ที่จะวัดฝีมือการบริหารประเทศของ คสช.ว่าจะเร่งแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นและเรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้อย่างไร เพราะในยามนี้ประเทศไทยกำลังถูกจับตามองจากนานาอารยะประเทศภายหลังการทำ “รัฐประหาร” ที่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนในมุมการเมืองลุกลามไปจนถึงเศรษฐกิจและสังคม
งานนี้ไม่ใช่งาน“ง่าย” แต่เชื่อว่าก็คงไม่ “ยาก”เกินความตั้งใจทั้งหมดที่มีเพราะด้วยความเอาใจใส่ในปัญหาดังกล่าวที่ผ่านมาของประเทศไทยน่าจะเป็นข้อพิสูจน์ได้อย่างดีว่าที่ผ่านมาไทยเอาใจใส่กับปัญหาแรงงานทาสและการค้ามนุษย์มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ภาคธุรกิจก็น่าจะแข็งแกร่งเพียงพอที่จะขยับปรับตัวรองรับกับปัจจัยเสี่ยงในการระงับการเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรี แม้ว่า “ยุโรป” จะถือเป็นลูกค้าอันดับต้นๆ ในการส่งออกสินค้าของไทย โดยการมองหาตลาดเกิดใหม่ที่มีศักยภาพแก้ขัดไปก่อน สุดท้ายความร่วมมือร่วมใจและความจริงใจในการแก้ปัญหาของประเทศไทยจะเป็นเครื่องพิสูจน์ต่อสายตานานาประเทศในที่สุด