
นายมนัส แจ่มเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางเตรียมออกมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่าย เพื่อให้การเบิกจ่ายงบประมาณปี 57 เป็นไปตามเป้าหมาย และมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี โดยจุดประสงค์ของมาตรการจะเน้นไปที่การเบิกจ่ายงบลงทุนที่มีวงเงินลงทุนต่อ โครงการไม่มากนัก แต่เมื่อคิดเป็นสัดส่วนต่องบลงทุนรวมแล้วจะถือว่ามีจำนวนที่มาก จึงถือเป็น โครงการลงทุนที่จำเป็นต้องเร่งรัดการเบิกจ่ายให้ได้มากที่สุด
ทั้งนี้ หลังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามาบริหาร จะมีผลให้การเบิกจ่ายงบลงทุนทั้งในส่วนโครงการขนาดใหญ่และขนาดเล็กเดินหน้า ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของงบลงทุนที่มีมูลค่าเกิน 1 พันล้านบาท ที่ขณะนี้ มีวงเงินรอการลงทุนจริงอยู่ประมาณ 7 พันล้านบาท ซึ่งก่อนหน้านี้ ในช่วงรัฐบาลรักษาการจะไม่สามารถดำเนินการอนุมัติได้ แต่ขณะนี้ คสช. มีอำนาจเต็มสามารถอนุมัติโครงการลงทุนขนาดใหญ่ดังกล่าวได้
“คสช. ได้เร่งรัดให้งบลงทุนที่มีมูลค่าเกิน 1 พันล้านบาท เบิกจ่ายให้เร็วยิ่งขึ้น แต่ในกระบวนการการทำงานนั้น อาจจะไม่ได้เร็วอย่างที่คิด เพราะทุกหน่วยงานที่มีแผนการลงทุนก็ต้องรอนโยบายจาก คสช.ว่า จะเดินหน้าโครงการตามแผนหรือไม่ โดยทุกหน่วยงานที่มีแผนลงทุนจะต้องส่งแผนให้ทีมเศรษฐกิจ คสช. พิจารณา”
สำหรับยอดการเบิกจ่ายงบรายจ่ายปี 57 ล่าสุดเมื่อวันที่ 31 พ.ค.ที่ผ่านมา สามารถเบิกจ่ายได้จำนวน 1.565 ล้านล้านบาท คิดเป็น 62% จากงบรายจ่ายรวมที่ 2.525 ล้านล้านบาท ในจำนวนนี้ แบ่งเป็นการเบิกจ่ายงบประจำ 1.375 ล้านล้านบาท งบลงทุน 1.9 แสนล้านบาท โดยงบลงทุนดังกล่าวถือว่า เบิกจ่ายได้ 44% ของงบลงทุนรวม และต่ำกว่าเป้าหมายจำนวน 13.56%
ทั้งนี้ เป้าหมายการเบิกจ่ายงบประมาณรวมทั้งปีอยู่ที่ 95% ของงบรายจ่ายรวม ส่วนงบลงทุนอยู่ที่ 82% ของงบลงทุนรวม ซึ่งกรมฯ คาดว่า การเบิกจ่ายตลอดทั้งปีงบประมาณทั้งสองส่วนจะใกล้เคียงกับเป้าหมาย
ด้านนายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า นอกจากการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณที่จะมีส่วนกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว กระทรวงการคลังยังมีแผนเร่งรัดให้แบงก์รัฐเข้าไปช่วยปล่อยสินเชื่อในระบบ เพิ่มขึ้นด้วย โดยเชื่อว่า ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ไม่ว่า จะเป็นแบงก์รัฐหรือแบงก์เอกชน ก็จะเร่งรัดการปล่อยสินเชื่อเช่นกัน เพราะความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจได้กลับมาหลังมี คสช.เข้ามาบริหารประเทศ
วันที่ 5/06/2557 เวลา 6:40 น.