
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. กล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจภายในประเทศไทยว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานี้คือการเรียกความเชื่อมั่นให้กลับมายังประเทศไทย และการหาเงินมาคืนให้กับชาวนาในโครงการจำนำข้าว เชื่อว่าถ้ารัฐบาลใหม่ที่เข้ามาปฏิบัติงานสามารถจัดการกับปัญหาเหล่านี้ได้ สภาพเศรษฐกิจของไทยก็จะกลับมาฟื้นตัวได้อย่างแน่นอน และที่สำคัญรัฐบาลใหม่ต้องอธิบายให้สังคมโลก รวมถึงประชาชนชาวไทยได้ทราบถึงการเข้ามาควบคุมอำนาจชั่วคราวในครั้งนี้ พร้อมกับระบุว่าไม่ถนัดทำงานทางการเมืองเมื่อถูกถามว่าถูกทาบทามเข้ารับ ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยส่วนตัวเชื่อว่าทหารคงไม่อยากให้สถานการณ์เป็นแบบนี้ตลอดไป สังเกตได้จากการที่อดทนมาตลอด 6 เดือน แม้จะมีเสียงจากคนบางกลุ่มให้เข้ามาแทรกแซงปัญหาด้านการเมือง และจากการพูดคุยกับทูตไทยที่ประจำการอยู่ในประเทศจีนพบว่า ทางกลุ่มชาวจีนไม่ได้เรียกการกระทำของทหารไทยในครั้งนี้ว่ารัฐประหาร แต่เรียกว่าการยืมอำนาจรัฐฯ มาชั่วคราว
สำหรับเรื่องที่ต้องระวังมากที่สุดในขณะนี้คือภาคธุรกิจ เช่น เอสเอ็มอี ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาทางการเมืองทำให้ขายสินค้าได้ลดลง รวมถึงภาคครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำและได้ทำการก่อหนี้ไว้ในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มนี้จะต้องคอยจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิดว่าจะเป็นหนี้เสียหรือไม่
ส่วนเรื่องที่มอร์แกนสแตนเลย์ สถาบันการเงินระดับโลกได้คาดการณ์ค่าเงินบาทของไทยว่าจะอ่อนค่าลงไปอยู่ที่ 37 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ เชื่อว่าเหตุการณ์นี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ และไม่ทราบว่าทางมอร์แกนสแตนเลย์ใช้สมมุติฐานข้อมูลจากเรื่องอะไร เพราะในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาค่าเงินดอลลาร์ก็มีทิศทางที่อ่อนค่า และค่าเงินบาทของไทยก็อยู่ในระดับที่ค่อนข้างมีเสถียรภาพที่ประมาณ 32 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงดุลบัญชีของไทยในปีนี้ก็จะเกินดุลเล็กน้อย และทุนสำรองของไทยก็อยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง อีกทั้งช่วงเช้าวันที่ 22 พ.ค.57 ทางสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือเอสแอนด์พี ยังยืนยันฐานะทางเครดิตเรตติ้งของไทยไว้เท่าเดิม และมีมุมมองต่อเศรษฐกิจของไทยว่ายังมีเสถียรภาพ ทั้งในด้านเศรษฐกิจมหาภาค ระบบการเงินและการคลัง และถึงแม้การยืนยันจะเกิดก่อนการควบคุมอำนาจของทหารแต่ถ้าสามารถจัดตั้ง รัฐบาลใหม่และเรียกความเชื่อมั่นกลับไทยได้ เชื่อว่าจะไม่ถูกลดเครดิตเรตติ้งอย่างแน่นอน
ขณะที่ นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหา 2 ด้าน ได้แก่ ผลกระทบต่อเนื่องจากโครงการประชานิยมที่กดดันกำลังซื้อของผู้บริโภคภายใน ประเทศ และความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศ โดยเชื่อว่าหากมีรัฐบาลใหม่และเหตุการณ์ความขัดแย้งสงบลงเชื่อว่าสภาพ เศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวได้ เพียงแต่ผลกระทบจากโครงการประชานิยมจะยังอยู่เช่นเดิม ทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจหรือจีดีพีของไทยปีนี้จะเหลือเพียง 2.5% และปัจจัยที่คาดว่าจะช่วยเหลือการเติบของจีดีพีคือภาคการส่งออกที่คาดว่าใน ปีนี้จะเติบโตได้ 5% และเมื่อรวมกับภาคบริการจะคิดเป็นสัดส่วนถึงประมาณ 73% ของจีดีพี และสิ่งที่รัฐบาลใหม่ต้องทำคือการเร่งใช้หนี้คืนชาวนาในโครงการจำนำข้าว เพราะรัฐบาลไม่ควรเป็นหนี้ต่อประชาชน
ด้านนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ระบุว่า ขณะนี้เศรษฐกิจของไทยไม่ได้ประสบปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ และเชื่อว่าเมื่อปัญหาทางการเมืองจบลงการจับจ่ายของผู้บริโภคจะกลับมาในช่วง ครึ่งปีหลัง และถึงแม้จีดีพีของไทยในปีนี้มีแนวโน้มที่จะติดลบติดต่อกัน 2 ไตรมาส แต่ในระยะยาวเชื่อว่าเศรษฐกิจของไทยยังมีปัจจัยพื้นฐานที่ดีเพราะตัวเลขการ ว่างงานเพียงแค่ประมาณ 0.9% และต่างประเทศการจะดูว่าเศรษฐกิจจะถดถอยหรือไม่ จะต้องดูตัวเลขการว่างงานว่าสูงเท่าใด และสภาพเศรษฐกิจมีแนวโน้มจะถดถอยระยะยาวหรือไม่ ซึ่งเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบันยังไม่ถึงขึ้นถดถอยระยะยาว
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กล่าวว่า การที่ทหารออกมานั้น เชื่อว่า จะไม่กระทบต่อระบบเศรษฐกิจไทยมากนัก เนื่องจากตลาดหุ้นมีการปรับตัวลดลงไม่มาก และปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังคงมีความเข้มแข็งรวมไปถึงภาคบริษัทเอกชน ที่ยังคงดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง แม้จะผ่านวิกฤติมาหลายครั้งแต่ก็ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก และการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในครั้งนี้ ก็อาจส่งผลกระทบทำให้มีความชัดเจนและทิศทางที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งเหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการหุ้นราคาถูกในขณะนี้ พร้อมมองว่าเศรษฐกิจไทย จะปรับตัวดีขึ้นได้อย่างเต็มที่ก็ต่อเมื่อมีรัฐบาลที่มีอำนาจเดิมเข้ามาบริ หารประเทศเพราะจะทำให้ทิศทางต่างๆ มีความชัดเจนมากขึ้น รวมไปถึงการลงทุนของภาครัฐ
นายธนิต โสรัตน์ ประธาน บริษัท V-SERVE GROUP จำกัด และอดีตรองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การยึดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เนื่องจากการเจรจาไม่สำเร็จ ประกอบกับที่ผ่านมาการประกาศกฎอัยการศึกเหมือนการกระโดดน้ำลงไปค่อนตัวแล้ว ไม่ต่างจากการปฏิวัติเงียบ จึงต้องใช้จังหวะนี้ดำเนินการยึดอำนาจที่ผ่านมาประชาชนค่อนข้างยอมรับเพราะ อยากให้สถานการณ์จบลงโดยเร็ว หุ้นไม่ตก ความเชื่อมั่นเอกชนไม่ติดลบ เงินบาทไม่แข็งมาก แสดงว่าเงินไม่ไหลออก
วันที่ 24/05/2557 เวลา 12:06 น.